อุกอาจ! ชายจีนร้องถูกเพื่อนชาวจีนตีหัวแตก เย็บ 40 เข็ม หนำซ้ำยังบุกไปฟาดต่อกลาง รพ. ผ่านไป 7 เดือน คดีไม่คืบ เหตุคู่กรณีทำธุรกิจในไทยนาน 10 ปี รู้จักตำรวจระดับนายพล

วันที่ 9 มี.ค.66 เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สำนักงานทนายคู่ใจ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายโทนี นามสมมติ อายุ 40 ปี สัญชาติจีน พร้อมล่ามแปลภาษา เดินทางเข้าร้องเรียนกับทนายรณณรงค์ แก้วเพชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม กรณีถูกชายชาวจีน เพื่อนร่วมชาติทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และขณะไปรักษาตัวยังถูกตามไปทำร้ายร่างกายถึงในโรงพยาบาล เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคู่กรณีที่ทำร้ายทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 10 ปี และคดีที่ตนเองแจ้งความไว้ไม่มีความคืบหน้าจึงมาขอให้ทนายรณณรงค์ช่วยเหลือ

โดยนายโทนี เล่าให้ฟังผ่านล่ามว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ก.ย.65 เวลาประมาณ 21.00 น. ตนเองได้ไปร่วมดื่ม และรับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ แขวงแสมดํา เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พร้อมกับทางคู่กรณีซึ่งเป็นคนจีนและเพื่อนอีก 2 คน รวมเป็น 4 คน

จนกระทั่งรับประทานอาหารเสร็จเวลาประมาณ 22.00 น. จึงเตรียมตัวจะแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยตอนนั้นคู่กรณีที่ทำร้ายตนเองมีอาการมึนเมาอย่างมาก พูดจาไม่รู้เรื่อง ด้วยความเป็นห่วงเกรงว่าจะมีเหตุ ตนเองจึงบอกกับคู่กรณีว่าให้เรียกรถมารับไหม หรือ จะโทรหาใครมารับกลับบ้านจะปลอดภัยกว่ากลับเองตามลําพัง

จากนั้นคู่กรณี จึงได้โทรศัพท์ไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ตนเองไม่รู้จักมาก่อน จนเมื่อผู้หญิงคนดังกล่าวมาถึง ตนเองก็ได้สอบถามทักทายตามปกติตามประเพณีของคนจีน โดยใช้มือชนกําปั้นกับผู้หญิงคนดังกล่าว แต่ไม่ได้มีการแตะเนื้อต้องตัวหรือกระทําการใดอันไม่เหมาะสมเลยแม้แต่น้อย แต่มีการพูดชื่นชมผู้หญิงคนดังกล่าวว่าหน้าตาดี นิสัยดี ซึ่งตามประเพณีของคนจีน ถือเป็นเรื่องที่ดีในการพบปะเพื่อนใหม่

หลังจากนั้นคู่กรณีได้หยิบแก้วเบียร์ฝาดใส่ศีรษะตนเองหลายครั้งจนศีรษะแตก โชคดีเพื่อนที่ไปด้วยกันเข้ามาห้ามปรามก่อนจะพาตนเองไปส่งโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในแขวงแสมดํา เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร เพื่อรักษาบาดแผล แต่ขณะรอแพทย์รักษาอยู่นั้นคู่กรณีได้บุกเข้ามาในโรงพยาบาล บุกเข้าไปในห้องที่ตนเองรอรับการรักษา โดยในมือคู่กรณีถือกระบอกไฟฉายขนาดใหญ่ พอเห็นตนเองได้วิ่งปรี่เข้ามาตีที่ศีรษะอย่างแรงหลายครั้ง จนศีรษะแตกเลือดไหลอาบหน้า ก่อนที่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจะเข้ามาห้ามปรามและแยกตัวคู่กรณีออกไป ซึ่งแพทย์ต้องเย็บแผลตนเองเกือบ 40 เข็ม เนื่องจากบาดแผลกว้างและเป็นจุดที่อันตรายต่อชีวิต

ซึ่งเป็นการทำร้ายตนเองเป็นครั้งที่ 2 หลังเกิดเหตุตนเองได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.แสมดำ กับ สน.ท่าข้าม ในข้อหาทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ แต่คดีไม่มีความคืบหน้าเพราะฝั่งคู่กรณีรู้จักกับข้าราชการตำรวจระดับนายพลคนหนึ่ง เข้ามาช่วยเหลือเรื่องคดี จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำคดีของตนเองอย่างตรงไปตรงมาไม่ช่วยเหลือคนผิด ทำให้เป็นคดีตัวอย่างที่คนทำผิดต้องได้รับโทษตามกฎหมายไทย

ด้านทนายรณณรงค์ กล่าวว่าเหตุการณ์นี้เป็นการทำร้ายร่างกายกันกลางโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และหลังจากนั้นผู้เสียหายได้เดินทางไปรักษาตัวต่อที่ประเทศสิงคโปร์ทันทีเพราะไม่กล้าอยู่ที่ประเทศไทยเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย หลังจากนั้นผ่าน 1 เดือนทางทนายความจึงได้พาเข้าแจ้งความ แต่มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับนายพลเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดี ทำให้คดีมีความล่าช้ากว่า 7 เดือน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างทั้งทั้งสน.แสมดำ และสน.ท่าข้าม พรุ่งตนเองจะพาผู้เสียหายเดินทางไปร้องเรียนที่ บช.น. ต่อไป

ปัจจุบันคดีอยู่ในอำนาจสอบสวนของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลแสมดำ และสถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม เกี่ยวเนื่องกัน

โดยคดีนี้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีด้วยความยากลำบากเนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นนักธุรกิจมีฐานะร่ำรวยและรู้จักกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และมีการพยายามใช้เส้นสายอำนาจบังคับบัญชาในการแทรกแซงคดีอีกด้วย ทางผู้เสียหายเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและเกรงว่าสำนวนพยานหลักฐานจะอ่อนจึงมาร้องเดินทางมาร้องเรียนกับตนเอง