อัยการสูงสุด แถลงตั้งศูนย์อำนวยการการสอบสวนคดีตู้ห่าว ด้าน ผบ.ตร.-ผบช.น. ถอนตัวร่วมแถลง ขณะที่ "ชูวิทย์" ร่วมฟังและตั้งคำถาม พร้อมเรียกร้องนายกฯ ออกมาจัดการ

นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองอธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงความคืบหน้าการสืบสวนคดีของนายตู้ห่าว หลังอัยการสูงสุดรับเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และคดีอาชญากรรมข้ามชาติ ว่า ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการการสอบสวนขึ้น เพื่อร่วมมือกันสืบสวนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทันกรอบเวลากำหนดฝากขังผู้ต้องหา ครั้งที่ 6 คือภายในวันที่ 8 ม.ค. 2566

นายกุลธนิต ยืนยันว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และการสอบสวนยังไม่เสร็จ แต่ก็มีพยานหลักฐานมากพอที่จะออกหมายจับเพิ่ม 15 รายไปเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา 

 

โดยเป็นผู้ต้องหา 2 กลุ่ม คือ กลุ่มร่วมกันฟอกเงิน และกลุ่มร่วมกันสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยล่าสุดจับกุมได้ 10 ราย และแจ้งข้อหาแตกต่างกันไปตามความผิดแต่ละคน เช่น สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม, ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 และ วัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต, สมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน, และร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

ดังนั้นยืนยันว่า คดีนี้หลักฐานเชื่อมโยงชัดเจนว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และสำนักงานสูงสุดเป็นผู้มีอำนาจรับผิดชอบ โดยได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนของตำรวจเป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งหลักฐานบางชิ้นอยู่ต่างประเทศ ก็จะมีขั้นตอนในการประสานขอความร่วมมือไปยังประเทศนั้นๆ เพื่อให้ส่งพยานหลักฐานกลับมาประกอบในสำนวน 

นายกุลธนิต กล่าวอีกว่า ส่วนนายตู้ห่าว ยืนยันว่า ขณะนี้พนักงานอัยการมีพยานหลักฐานชัดเจนว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน และเตรียมจะไปแจ้งข้อหานายตู้ห่าวเพิ่มเติมภายในเรือนจำใน 1-2 วันนี้ และเนื่องจากความผิดเดิมของนายตู้ห่าวคดียาเสพติดเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน อัยการก็ได้แจ้งไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ให้ดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อยื่นริบอายัดทรัพย์นายตู้ห่าวแล้ว หากพบหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงผู้กระทำความผิดรายอื่น ก็จะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมได้ทันที

กำหนดการเดิมผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะมาร่วมแถลงข่าวกับอัยการด้วย แต่ได้ถอนตัว เนื่องจากนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เข้าร่วมสังเกตการณ์การแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย คาดว่าเพื่อลดการเผชิญหน้า

หลังฟังการแถลงข่าวของอัยการสูงสุด นายชูวิทย์ ได้ตั้งคำถามในช่วงท้าย เกี่ยวกับการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจ และการประสานการทำงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่มีปัญหา ทำให้นายกุลธนิต ตอบว่าอัยการไม่ได้รับสำนวนจากตำรวจมาเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้ตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อความถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อคลี่คลายประเด็นสงสัยต่างๆ แล้ว และมีการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมในอีกหลายส่วน ซึ่งปัจจุบันมีพยานมากกว่า 100 ปาก และมีการออกหมายจับเพิ่มเติมนอกเหนือจากสำนวนแรก ดังนั้นจึงยืนยันว่าจะดำเนินการสอบสวนต่อเนื่อง ขอให้ทุกคนมั่นใจในการทำงาน 

นายชูวิทย์ เผยว่า ตนออกมาเรียกร้องครั้งนี้ ยันไม่ได้หิวแสง และไม่ได้หวังผลทางการเมืองแต่อย่างใด แต่ก็ใช้สิทธิ์ในฐานะประชาชน พร้อมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกมาเคลื่อนไหว โดยระบุว่า จะดำรงตำแหน่งต่อไปทำไม หากไม่ทำประโยชน์ เมื่อคดีนี้เป็นคดีใหญ่ระดับประเทศ เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ก็ควรจะออกมาพูดบ้าง อย่ามัวแต่หาเสียง เนื่องจากเป็นนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการตำรวจนครบาลไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้