"บิวกิ้น-พีพี" รับเป็นสายเปย์ ทุ่มซื้อของขวัญให้กันและกัน แถมฮอตแรงจนงานรุมยาว คิวแน่นถี่แบบรายวัน

 

นักแสดงหนุ่มฮอต "พีพี กฤษฏ์" ออกมายอมรับว่าชอบเปย์คู่จิ้นหนุ่ม "บิวกิ้น พุฒิพงศ์" หนักมากในทุก ๆ โอกาส ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายชอบ เรื่องราคาไม่เกี่ยงเลย พร้อมทุ่ม มองว่าเป็นเรื่องของคุณค่าทางจิตใจ ส่วนด้าน "บิวกิ้น" จะว่าอย่างไร วันนี้เรามีโอกาสได้เจอทั้งคู่ออกงานอิเวนต์ เดี๋ยวเราไปฟังสัมภาษณ์กันเลย

คือเราต้องมีของขวัญให้กันตลอดเลยใช่ไหม?
บิวกิ้น : ก็เป็นไปตามสถานการณ์มากกว่า
พีพี : เป็นการแซวกันเล่น ๆ เฉย ๆ (แล้วเคยได้จริงไหม) เขาจะให้จริงไหม

เรียกว่าเป็นสายเปย์เลยไหม?
พีพี : เราเปย์เขาเยอะกว่า ก็คือเรียกว่าเวลาเราเห็นอะไรที่เขาชอบเราก็จะซื้อเก็บไว้ก่อน แล้วก็รอโอกาสสำคัญก็ค่อยให้ (ปกติซื้อให้เขาบ่อยไหม) ก็มีซื้อเก็บไว้บ้าง ตอนนี้ก็มีซื้อเก็บไว้นะ ไม่เชื่อลองถามผู้จัดการได้ ซึ่งบางอย่างมันเป็นของหายากแล้วก็เป็น limited edition มาก ๆ แล้วก็เป็นแบบวันสำคัญ วันเกิด แล้วค่อยเอาให้เป็นเซอร์ไพรส์
บิวกิ้น : ก็จะเป็นพวกวันต่าง ๆ ที่เขาซื้อมาให้

เรียกว่าราคาไม่เกี่ยงเลยใช่ไหม?
พีพี : ก็เรียกว่าราคาไม่เกี่ยงเลย (เราทุ่มมากเลยใช่ไหม) ก็คือมันมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า เรื่องราคามันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย ถ้าให้แล้วเขาชอบว่ามันดีแล้วเขารู้สึกดีด้วยแล้วก็โอเค

ลองนับบ้างไหม ว่ามันกี่ชิ้นแล้ว?
บิวกิ้น : น่าจะเกิน 30-40 ชิ้นได้ (วันพิเศษของคู่เราเยอะมากเลยสินะ) ก็คือหมายความว่าตั้งแต่รู้จักกันนะไม่ใช่ทุกเดือน ในช่วงเวลาประมาณ 5-6 ปีนี้

เวลาซื้อของแต่ละอย่าง เราต้องเดาใจเขาไหม?
พีพี : คือคนเนี่ย ส่วนใหญ่เวลาเราจะซื้อของให้จะเดาไม่ยากเพราะเวลาเขาพูดอะไรออกมา เราก็จะฟังตลอด (เราค่อนข้างรู้ใจเขาไหม) แต่เขาไม่ค่อยรู้จักอะไร เราเลยรู้ใจเขา
บิวกิ้น : ปกติผมไม่ค่อยชอบพูดเท่าไหร่

ไลฟ์สไตล์ของเรามันค่อนข้างต่างกัน แต่ก็อยู่ด้วยกันได้เพราะอะไร?
บิวกิ้น : ก็คือเราก็เคารพซึ่งกันและกัน อะไรที่เห็นไม่ตรงกันเราก็ให้เขาทำในสิ่งที่อยากทำ แล้วก็ไม่ได้ไปก้าวก่ายต่างคนต่างมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำก็พอแล้ว

ที่บอกว่าราคาไม่ติด มันรวมกันประมาณเท่าไหร่?
บิวกิ้น : ประมาณ 8 พันกว่าล้านได้ (หัวเราะ)
พีพี : โอ้โห..แบบนี้ คือห้างนี้ดีกว่าถ้ามันราคานี้

ราคาเป็นหลักล้านได้ไหม?
พีพี : ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเราซื้อเพราะอยากซื้อมากกว่า แล้วก็อยากให้เขา ไม่ได้มองว่าเราซื้อไปแล้วว่ามันจะกี่บาท ตัวเขาต้องซื้อให้เรากี่บาท

แล้วได้คืนจากเขาบ้างหรือยัง?
บิวกิ้น : คือผมดูเป็นคนหน้าเงินมาก ๆ เลยนะครับตอนนี้
พีพี : ซื้อคืนให้หน่อย เอาเดือนเนี่ย
บิวกิ้น : เราก็ซื้อคืนให้ตลอดนะ เพราะว่าปีนี้เราก็ค่อนข้างใช้ได้เหมือนกันนะ

มีชิ้นไหนที่เราประทับใจเป็นพิเศษบ้าง?
พีพี : เรียกว่าทุกชิ้นนะครับ ไม่ได้เรียกว่าชิ้นไหนจะเป็นพิเศษหรือว่าต้องแพง ชิ้นไหนที่เค้าให้มันค่อนข้างมีคุณค่ากับจิตใจเรามากกว่า (มันต้องแบ่งเป็นตู้ใส่เลยไหม) อาจจะไม่ได้มี คือเก็บรวม ๆ กันไว้ใส่ในตู้ไว้แล้วกัน
บิวกิ้น : ก็ไม่ได้มีตู้แต่ว่าจะเป็นเก๊ะ เพราะว่าของมันหลากหลายมาก มันไม่ใช่เป็นของที่เอาไว้ใส่เอาไว้ใช้อย่างเดียว ก็อาจจะไม่ได้เป็นคอนโซลทั้งหมด ก็เก็บรวม ๆ กันไว้
พีพี : คือให้เขาแล้ว เขาไม่ค่อยเอามาใช้

อัปเดตเรื่องงานบ้าง ที่ปีนี้ทั้งคู่จะเน้นไปทางสายเพลงแล้ว?
บิวกิ้น : จริง ๆ ไม่ขนาดนั้น เพราะว่าเรามองตัวเองที่ศิลปิน แต่ดันโชคดีที่เราเป็นทั้งศิลปินและนักแสดงด้วย หมายถึงว่าตัวตนเรามันมีความสุขที่จะได้ทำทั้งสองอย่าง อย่างช่วงนี้เราก็จะทำงานเพลงก็มีความสุขกับมัน แต่ในอีกความรู้สึกหนึ่งแล้วก็คิดถึงงานแสดง แต่ก็รองานที่มันใช่สำหรับเราที่จะทำและอินไปกับมัน

มีผู้จัดยื่นบทให้กับคู่เราบ้างไหม?
พีพี : จริง ๆ มีติดต่อมาแล้วครับ แต่ด้วยไทม์ไลน์ที่เราวางไว้แล้วโดยตัวบทด้วย คือเราสองคนอยากจะเลือกรับงานที่เหมาะสมกับพวกเราจริง ๆ ด้วยความตั้งใจก็เลยจะเลือกรับสิ่งที่ทำมันดูออกมาและเข้ากับตัวเรา

ติดไหมที่ต้องเล่นกับคู่กัน ไปเล่นกับคนอื่นไม่ได้?
บิวกิ้น : จริง ๆ ก็ไม่ได้ขนาดนั้น อย่างส่งที่ผ่านมา
พีพี : เค้าก็มีไปเล่นกับคนอื่นมาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ถ้าเป็นงานใหญ่ ๆ มันยังไม่มีโอกาสที่จะเหมาะมากกว่าที่ เพราะต่างคนต่างไปทำงานตัวเอง ที่จริงเราจะไม่ได้ยึดติดขนาดนั้นว่าต้องทำงานคู่กันไปตลอด แต่อย่างที่บอกว่ามันเป็นเรื่องของจังหวะและโอกาสมากกว่า

เคยคิดจะทำด้วยกันเลยไหม?
บิวกิ้น : เพราะเหมือนเราเปิดบริษัทด้วยกัน ใช่ไหม
พีพี : จริง ๆ มันคนละบริษัทแต่ต้องใช้ทีมงานเดียวกัน

อยากจะทำร่วมกันเลยไหม ให้มันเป็นงานของเราเอง?
-ก็เรียกว่ารอดูโอกาสในทุก ๆ งาน ในฝั่งของนักแสดงต้องบอกว่าเราคิดถึงงานแสดงเหมือนกัน เพราะมันเป็นสิ่งที่เราเคยมีความสุขกับมัน ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำมันมาสักพักหนึ่งแล้ว ก็อยากเห็นอยากมีพัฒนาการ แต่ก็อยากกลับไปสนุกกับการทำการแสดง ก็อย่างที่บอกว่างานแสดงมันเป็นงานที่มีองค์ประกอบหลายอย่างทั้งทีมงาน ถ้ากลับมาแล้วก็จะมีบทที่มันจะต้องอินกับเนื้อเรื่องนั้นๆ ด้วยวิธีการทำงาน ซึ่งมันก็ตัดสินใจยาก แต่ถ้าไม่มีโอกาสที่ดีถ้ามันเหมาะสมกับเรา เหมาะกับเรา เราก็อยากจะไปทำตรงนั้น เรียกว่าอยู่ที่จังหวะและโอกาสจริง ๆ