บิ๊กตู่ยกวัคซีนโควิดเป็นวาระแห่งชาติ ลุยสกัดโควิดเชิงรุกแบบปูพรม ยืนยันรักษาโควิด-19 ฟรี! ห้าม รพ.เรียกเก็บค่าใช้จ่าย หากฝ่าฝืนจะมีโทษ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตนในฐานะนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.

ขอรายงานความก้าวหน้าของผลการดำเนินมาตรการที่ได้มีการสั่งการลงไปแล้ว เพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เรื่องแรก คือการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่คลองเตย ซึ่งได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นพื้นที่ใจกลางเมือง มีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก และกระทบกับชีวิต ความปลอดภัยของประชาชนเป็นจำนวนมาก เรื่องนี้ตนในฐานะผอ.ศูนย์ศบค. กรุงเทพฯและ ปริมณฑล ได้สั่งการเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานได้ระดมสรรพกำลังเข้าป้องกันการลุกลามอย่างเต็มที่ โดยมียุทธวิธีสำคัญในการเอาชนะศึกครั้งนี้ ก็คือ การระดมตรวจเชิงรุกให้ได้มากที่สุดในพื้นที่เป้าหมาย โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เรามีการตรวจไปแล้วมากกว่า 70,000 ราย ในชุมชนที่มีความเสี่ยง เฉลี่ย 7,000 รายต่อวัน ผลที่เกิดขึ้นเราสามารถระบุตัวผู้ติดเชื้อ และคัดแยกผู้ติดเชื้อไปรักษาได้อย่างทันการณ์ รวมทั้งแยกผู้มีความเสี่ยงจากการอยู่ใกล้ชิดไปกักตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่อ จำกัดวงการแพร่ระบาดให้แคบที่สุดและสั้นที่สุด

ดังนั้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาอาจจะเห็นยอดผู้ติดเชื้อต่อวันเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการตรวจเชิงรุกแบบปูพรมของเรา ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในช่วงนี้อาจจะยังมีขึ้นมีลงอยู่บ้าง แต่ทางทีมแพทย์เชื่อมั่นว่าด้วยวิธีนี้ จะทำให้เราควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า และยอดผู้ติดเชื้อจากในพื้นที่จะค่อยๆ ลดลง ซึ่งล่าสุดยอดผู้ติดเชื้อในกรุงเทพเริ่มทรงตัว ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี แต่เราก็ยังไม่นิ่งนอนใจ จะดำเนินการตรวจเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงต่อไปให้มากและเร็วที่สุด และในขณะเดียวกันก็เร่งระดมฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนให้มากที่สุด เพื่อตัดวงจรสะเก็ดไฟที่ปะทุอยู่ในเวลานี้ จนถึงวันนี้ได้มีการฉีดวัคซีนในพื้นที่คลองเตยไปแล้วมากกว่า 13,000 คน หรือเกือบ 30% ของเป้าหมายที่จะฉีดให้ได้อย่างน้อย 50,000 คน และพื้นที่ปทุมวันที่อยู่ใกล้เคียง ได้ฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 50% ของเป้าหมาย 14,000 คน โดยเฉลี่ยแล้วทั้งสองเขตฉีดได้มากกว่าวันละ 2,000 คน โดยผลการดำเนินการจากคลัสเตอร์คลองเตย จะใช้เป็นแนวทางในการจัดการกับการแพร่ระบาดในพื้นที่เขตอื่นๆของ กทม.และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัดด้วย วันนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการใช้แซนบ๊อกที่เราร่างขึ้นมาแล้วดำเนินการ ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง หรือพื้นที่สีแดง วันหน้า หากเกิดการแพร่ระบาดต่อไปอีกเราจะใช้แนวทางนี้ปฏิบัติต่อไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยืนยันว่ารัฐบาล จะดูแลค่ารักษาพยาบาล ออกค่าใช้จ่ายให้ประชาชนทุกคน ตามสิทธิตั้งแต่การตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยง การรับวัคซีน การชดเชยกรณีได้รับผลข้างเคียงการฉีดวัคซีน และการรักษาพยาบาล ส่วนในกรณีของโรงพยาบาลเอกชน รัฐจะอุดหนุนค่าใช้จ่ายไปที่ รพ.เอกชน เพิ่มร้อยละ 25 ทุกรายการ หากมีประกันส่วนบุคคล ให้โรงพยาบาลเรียกเก็บประกันส่วนบุคคลที่เหลือให้เรียกเก็บกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยห้ามโรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากประชาชน หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมาย

กรณีเกิดความเสียหายไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บ เจ็บป่วยต่อเนื่อง เสียอวัยวะ พิการ ทุพพลภาพถาวร หรือเสียชีวิต สามารถยื่นขอรับเงินเยียวยาได้จาก สปสช.

และยังมีค่าประกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเสียสละเสี่ยงภัย ทำงานอย่างหนักแสนสาหัสในขณะนี้ ในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ โดยวันนี้ตนได้พบกับนายกสมาคมประกันภัย และได้มีการทำกรมธรรม์ประกันภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ จำนวน 270,000 ราย วงเงินความคุ้มครองมากกว่า 270,000 ล้านบาท ในกรณีเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต หรือรายละ 1 ล้านบาท แล้วแต่กรณี

“ผมขอความกรุณาอย่าไปฟังข่าวที่ไม่ใช่ออกจากรัฐบาล เดี๋ยวจะสับสน ยืนยันรัฐบาลดูแลทั้งหมด ทั้งประชาชน ทั้งเจ้าหน้าที่ บุคคลากรด่านหน้าทั้งหมด ดูแลทั้งหมด รวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย แต่ที่สำคัญที่สุด ผมต้องขอร้องให้ทุกคนระมัดระวังตนเองที่สุด เรายังไม่พ้นจากการแพร่ระบาดในระลอกนี้ ขอให้ป้องกันตนเองให้เต็มที่”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จากข้อพิสูจน์ทราบจะเห็นได้ว่าผู้ติดเชื้อจำนวนมากในระลอกนี้ เป็นการติดเชื้อในครอบครัว ในหมู่เพื่อนฝูง ที่ทำงาน สถานประกอบการต่างๆ ซึ่งเป็นการยากที่ภาครัฐจะลงไปควบคุมดูแลได้ทั้งหมดขอให้ทุกคนป้องกันตนเองให้เต็มที่

หากร่วมมือกันเราจะชนะศึกครั้งนี้ได้ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน และเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม เจ้าหน้าที่ทุกคน เหน็ดเหนื่อยกับภารกิจ อันใหญ่หลวงในครั้งนี้ จึงอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยชาติ ช่วยชุมชน ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ และขอให้คำนึงถึงผลกระทบจากการแชร์ข่าวสารที่ไม่รู้ที่มา หรือยังสงสัย ไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องแน่นอน มันอาจสร้างความวุ่นวายสับสนให้แก่สังคม ยิ่งกว่านั้น ยังมีกลุ่มผู้ที่เจตนา หรือไม่เจตนา สร้างและเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือ Fake News ขอให้ หยุดการกระทำเหล่านี้ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมเพิ่มความเดือดร้อน ความเสี่ยงให้กับตัวเอง คนรอบข้าง และประเทศชาติ

“ผมได้สั่งการและย้ำให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวด ในการตรวจสอบ และจะดำเนินการทันที หากพบการกระทำผิดกฎหมาย ดังนั้น ผมจึงขอให้ทุกคนร่วมแรง ร่วมใจกัน เพื่อประเทศชาติและส่วนรวม พวกเราจะสามารถผ่านวิกฤครั้งนี้ไปด้วยกันได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว และว่า สิ่งที่ตนและรัฐบาล พยายามคิดวางแผนทุกวันคือการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนจากผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการปิดสถานที่ต่างๆ ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมสถานการณ์ในแต่ละจังหวัดให้ได้ ปิดกั้นการลักลอบเข้าประเทศอย่างสูงสุด และประเมิน สถานการณ์วันต่อวัน หากจังหวัดใด

โดยเฉพาะจังหวัดโซนสีแดง ที่มีการปิดสถานที่และข้อจากัดต่างๆ มีสถานการณ์ที่ควบคุมได้ดีขึ้นแล้ว ก็ให้มีการพิจารณาผ่อนคลายเงื่อนไขต่อไป เพื่อให้ประชาชน ได้กลับไปสู่การทำมาค้าขาย การเดินทางท่องเที่ยวได้เช่นเดิม ตนจะพิจารณาด้วยความรอบคอบ เพื่อรักษาสมดุล ทั้งทางสุขภาพและเศรษฐกิจที่ต้องเดินควบคู่กันไปด้วย

นายกรัฐมนตรึ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้ คือวัคซีน ที่ผ่านมาได้เร่งระดมฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงผู้สูงอายุ ซึ่งบางคนอาจจะอยู่ที่บ้านไม่สามารถมาฉีดได้ก็ได้เร่งรัดทุกอย่าง รวมทั้งพื้นที่เศรษฐกิจ วันนี้รวมฉีดไปแล้วเกือบ 2 ล้านโดส ตามวัคซีนที่เรามีอยู่ในเดือนนี้และในช่วงที่ผ่านมา

โดยระดมฉีดวันละหลายหมื่นโดส และจากมาตรการจัดหาวัคซีนฉุกเฉินของรัฐบาล บางทีเราต้องค่อยๆสร้างความเข้าใจ เพราะบางทีมันอยู่ในขั้นตอนการเจรจาว่ากว่าจะตกลงได้บางทีก็มาทีละ 5 แสนโดส บางทีขอต่อเขาเพิ่มเป็นล้านโดส เป็น 2-2.5 ล้านโดส เพราะฉะนั้นวันนี้จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่าน่าจะชัดเจนว่าเดือนพ.ค.ได้เพิ่มอีก 3.5 ล้านโดส และได้ความร่วมมือจากภาคเอกชนในการเพิ่มศักยภาพในการฉีดได้อีกมาก

ขอย้ำว่า รัฐสามารถจัดหาวัคซีนให้กับประชากรในประเทศได้ทุกคนอย่างแน่นอน และจะไม่หยุดในการจัดหาและสำรองใช้เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคน ซึ่งประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่เป็นศูนย์กลางในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตราเซเนกาซึ่งผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่ได้มาตรฐานสูง ผ่านการรับรองคุณภาพจากทั่วโลก และจะสร้างความมั่นคงยั่งยืน ในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ในระยะยาว เพื่อสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและการแข่งขันให้กับ ประเทศชาติในอนาคตอีกด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ตนได้เสนอให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องดำเนินการอย่างครบวงจร ทั้งการจัดหา การกระจาย ไปจนถึงการฉีดด้วย เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศไทยของเรา สิ่งที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเป็นจริงไปไม่ได้เลย หากประชาชนในประเทศไทย ไม่มา เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19

“ผมจึงขอเชิญชวนให้ประชาชนทุกคน มาเข้ารับการฉีดวัคซีนกันให้มากที่สุด ประเทศไทยจึงจะเดินหน้าต่อไปได้ ผมขอยืนยันว่า วัคซีนที่รัฐบาลนำเข้าทุกชนิด มี การตรวจสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัยโดยได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว แลปัจจุบันมีใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีคนฉีดไปแล้วหลายสิบล้านคน รวมทั้งผู้นำประเทศทั่วโลก ตามภาพข่าวที่ มีการเผยแพร่ในการฉีดวัคซีน ตามที่เราได้นำเข้ามา ซึ่งผู้นำหลายประเทศก็ได้รับการฉีดไปแล้ว

โดยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างยืนยันว่า วัคซีนโควิดทุกชนิด สามารถป้องกันการป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ และป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบ 100% ส่วนโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงนั้น มีน้อยมากหากเปรียบเทียบกันแล้ว กับโอกาสในการติดโควิด และเสียชีวิตจากโควิดนั้นมีสูงกว่าการฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียงหลายพันเท่า ฉีดดีกว่าไม่ฉีด และในการฉีดแต่ละครั้ง จำเป็นจะต้องมีแพทย์ผู้ทำการประเมินความเหมาะสม และคอยเฝ้าดูอาการหลังฉีดอีกด้วย ซึ่งผมเอง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี สส.ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านต่าง ก็มีผู้ฉีดวัคซีนโควิดกันไปแล้วโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆในขณะนี้”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ล่าสุดจากการเปิดลงทะเบียนยืนยันและนัดหมายการฉีดวัคซีน ผ่านระบบหมอพร้อมและช่องทางต่างๆ สำหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง มีผู้ลงทะเบียนแล้ว กว่า 1.6 ล้านคน สูงสุด คือ กทม. มากกว่า 5 แสนคน ตามมาด้วยลำปาง ซึ่งมียอด มากกว่า 2 แสนคน ซึ่งหากนับตามสัดส่วนประชากร ก็ต้องถือว่าลำปาง ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนสูงที่สุดในประเทศ นับว่ามีความตื่นตัวในพื้นที่อย่างดีเยี่ยม ต้องขอขอบคุณ ทั้วนี้ก็ด้วยด้วยการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องของบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร และทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ต้องขอชื่นชมจังหวัดลำปาง และขอให้ทุกจังหวัดได้เร่งในเรื่องดังกล่าวและขอเป็นกาลังใจ ให้ทุกๆ จังหวัด มีจานวนผู้มาขอรับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด