คดีนี้จะเป็นไปตามที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ พูดหรือไม่ เชื่อว่า ไม่นานเกินรอคงได้รู้กัน เพราะเจ้าตัวค่อนข้างมั่นใจ ว่า ตำรวจจะออกหมายจับฆาตกรที่ฆ่า "น้องชมพู่" ได้ ถึงขั้นขับรถไปแจ้งข่าวดีกับแม่น้องชมพู่ ว่า ตอนนี้ตำรวจใกล้ปิดคดีแล้ว

น้องชมพู่ หรือ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หายไปจากบ้านพัก เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2563 ช่วงเวลาประมาณ 09.49 - 10.11 น.

ถัดมา 4 วัน คือ วันที่ 14 พ.ค. 2563 พบร่างไร้วิญญาณของ น้องชมพู่ ในสภาพเปลือยกาย บนภูเหล็กไฟ ต.กกตูม อ.ดงหวง จ.มุกดาหาร ห่างจากบ้านเด็ก ประมาณ 2 กิโลเมตร

หากเราวิเคราะห์ ในประเด็น ที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ บอกว่า ตำรวจได้สืบจากขน และอาจนำไปสู่การออกหมายจับคนร้ายนั้น

คำถามที่ตามมา คือ เป็นเส้นขน หรือ เส้นผมของใคร เพราะหากมองย้อนกลับไป ในวันที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าไปเก็บหลักฐาน ได้ หลักฐานสำคัญ ก็เส้นขน-ผม ที่พบในจุดเกิดเหตุ แยกเป็น เส้นขน 1 เส้น ใต้กางเกงน้องชมพู่ และ เส้นผม-เส้นขน อีกจำนวนหนึ่ง หล่นใกล้เคียงกับศพ

หากเราจะโยงไปยังผู้ต้องสงสัยก็มีหลายคนเช่นเดียวกัน เพราะก่อนหน้านี้ ตำรวจเคยค้นบ้านลุงพล ก็ได้มีการเก็บ กระสอบปุ๋ย ถุงมือขนสัตว์ เสื้อหม้อห้อมภูไท, กางเกงยีน, รองเท้าบูท กางเกงกีฬาสีขาว กางเกงกีฬาสีดำ เสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก /องเท้ายางสีดำ ที่บ้านของลุงพลไปตรวจสอบด้วย

ส่วนที่บ้าน นายอนามัย-นางสาวิตรี พ่อแม่น้องชมพู่ ก็มีการเก็บขนหมา (ชื่อ เจ้าปลาส้ม) สุนัขเพศเมีย อายุ 8-9 เดือน ที่อยู่ใกล้ชิดน้องชมพูมากสุด และ ขน "เจ้าแก้ว" สุนัขเพศเมีย อายุ 1 ปี และ หนูพุก เพศผู้อายุ 7 เดือน

บ้านนายเสริม-นางจุไรภรณ์ น้าของน้องชมพู่ ก็มีสุนัข 2 ตัว คือ “ซูโม่” สุนัขเพศผู้อายุ 3 ปี และ “สีทอง” สุนัขเพศผู้อายุ 3 ปี พบว่าสุนัขทั้ง 2 ตัวไม่เคยขึ้นภูเหล็กไฟ

บ้านของนางนลิน เงินนาม พยานของลุงพล ก็มีสุนัข 1 ตัว คือ ”บิ๊ก” เป็นสุนัขเพศผู้อายุ 1 ปี และแมว 1 ตัว คือ “เหมียว” แมวเพศผู้อายุ 1 ปี ซึ่งพบว่าสุนัขเคยขึ้นภูเหล็กไฟวันที่ 13 พ.ค.63 ขึ้นไปกับชาวบ้านที่ขึ้นไปตามหาน้องชมพู่

บ้านนางสาวขวัญใจ เชื้อตาพระ เจ้าของไร่มันสำปะหลังที่พบรอยเท้าเด็ก มี สุนัข 2 ตัว คือ “กาแฟ” สุนัขเพศผู้อายุ 2 ปี และ “ปีโป้” สุนัขเพศเมีย อายุ 5 ปี ไม่เคยขึ้นภูเหล็กไฟ

ในมุมของเส้นขนสัตว์ นั้น รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช เคยอธิบายว่า ขนหมาขนแมวที่เจ้าหน้าที่เก็บไปตรวจสอบ มีความสำคัญต่อการเชื่อโยงหาตัวคนก่อเหตุ แสดงว่าเจ้าหน้าที่อาจจะเจออะไรบางอย่างที่ศพน้องชมพู่ หรือตามเสื้อผ้าของเด็ก เช่น ขนหมา แมว ซึ่งปกติขนเหล่านี้ไม่น่าจะติดอยู่ที่ตัวขน แต่จะติดตามเสื้อผ้ามากกว่า การเอาเสื้อผ้าไปตรวจแสดงว่ามีขนสัตว์ติดอยู่ จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า แสดงว่าอาจมีใครไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ ฉะนั้นต้องไปตามหาว่าขนสัตว์ที่เจอเป็นของตัวไหน

ข้อสมมติฐานของตำรวจ ได้อธิบายไว้

-น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนภูเหล็กไฟซึ่งเป็นจุดพบศพได้ด้วยตนเอง
-จะต้องมีใครบางคนที่รู้จักกัน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เป็นผู้พาขึ้นไป
-ผู้ที่พาขึ้นไปจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จะต้องมีความผิดฐาน “พรากเด็กและกักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต” และมีความผิดในข้อหา ซ่อนเร้น เคลื่อนย้าย ทำลาย และอำพรางศพ

เพราะอะไร ตำรวจถึงเชื่อแบบนี้ มีเหตุผลสนับสนุน 8 ข้อ
1. เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่ มีเนินชันมากกว่า 60 องศา ขวางกั้นในทุกเส้นทาง
2. พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานไป ไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ
3. ประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่า เด็ก 3 ขวบ จะปีนป่ายไปถึงได้แค่ชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น
4. กรณีศึกษาการหลงป่า ของ นางทิน เชื้อคมตา ชาวบ้านกกตูม ชาวบ้านสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว
5. แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ ยืนยืนว่า พัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้
6. สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งบิดาและมารดาของน้องชมพู ยืนยันว่า น้องชมพู่ไม่สามารถถอดเสื้อเองได้
7. พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ ถูกตัดด้วยมีด เชื่อได้ว่า เป็นการกระทำของบุคคลอื่น
8. นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง และกลัวป่า ที่ผ่านมา น้องชมพู่ไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง

สืบจากขน คลี่ปมคดี "น้องชมพู่" บนสมมติฐานของตำรวจ