"ประยุทธ์" ยัน จำเป็นต้องจัดซื้อเรือดำน้ำ ชี้ เป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคง ขออย่าขยายประเด็น ถ้าจ้องแต่จะเอาชนะทางการเมือง ประเทศชาติจะล่มสลาย แผ่นดินลุกเป็นไฟ

(26 ส.ค. 2563) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์​โอชา​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงกลาโหม​ กล่าวถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ มีมติเอกฉันท์ให้คณะกรรมาธิการงบประมาณสัดส่วนของพรรค โหวตให้กองทัพเรือถอนวาระการจัดซื้อเรือดำน้ำออกไปก่อน ว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการงบฯที่ตอนนี้กำลังพิจารณากันอยู่ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์โหวตสวนก็ว่ากันไป

สิ่งสำคัญได้อธิบายไปหมดแล้วถึงความจำเป็นของหลักการและเหตุผล อีกทั้งงบที่จะซื้อก็เป็นงบของกองทัพเรือ และได้แก้งบประมาณปี 2563 ไปแล้วส่วนหนึ่งว่าโครงการใดที่เป็นโครงการต่อเนื่องมีความจำเป็นหรือไม่ ดังนั้นการจัดซื้อเรือดำน้ำจะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการงบฯ แต่ส่วนตัวคิดว่าอะไรก็ตามที่จะสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้เรา ไม่ใช่เพื่อใครทั้งสิ้น แต่เพื่อประเทศชาติและประชาชน เป็นทรัพยากรของชาติ ต้องดูว่าวันนี้โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ความขัดแย้งต่าง ๆ ไม่ได้มีไว้ปรารภหรือสู้กับใครแต่เป็นยุทธศาสตร์ และข้อสำคัญงบจัดซื้อก็เป็นงบของกองทัพเรือ สุดแล้วแต่จะพิจารณาอย่างไร วันหน้าทุกคนต้องรับผิดชอบด้วยกันทั้งหมด ไม่ใช่ตนคนเดียว เป็นมติหลายคนหลายพรรค

ส่วนจะกระทบกับการทำงานในฐานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่นั้น ยืนยันว่า การทำงานของพรรคร่วมเป็นไปด้วยดี ขออย่านำมาเป็นประเด็น เป็นเรื่องภายในที่จะบริหารกันเองได้ แต่ต้องคุยกัน พร้อมย้ำจะเป็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่ ไม่ขอพูดตรงนี้

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า วันนี้จ้องโจมตีงบประมาณของฝ่ายความมั่นคงเป็นหลัก และงบประมาณกระทรวงอื่นก็ตัดไปอีก ในขณะที่กระทรวงเหล่านั้นก็ดูแล พร้อมย้อนกลับว่าทำไมไม่ให้ความสำคัญ ทำให้ประเทศเดินหน้าไม่ได้เพราะงบที่ถูกตัดไปจะถูกตีตก เอามาใช้เป็นงบกลางก็ไม่ได้ ต้องทำโครงการขึ้นมาใหม่ ขอให้เข้าใจหลักการทำงบประมาณด้วย ยืนยันไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน กับพรรคร่วมก็มีการประกาศเจตนารมณ์ไปแล้วว่าไม่มีการทุจริต

ที่ผ่านมาหลายคนบอกว่าตนเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ด้วยอำนาจเผด็จการ ก็อยากให้มองย้อนกลับไป ไม่อยากพูดทบทวนให้ทุกคนถือเป็นบุญคุณ เเต่เมื่อเห็นชาติไม่ปลอดภัยก็ต้องเข้ามา แล้ววันนั้นเกิดอะไรขึ้นลืมกันหมดแล้วหรือ

"ลืมหมดแล้วหรือผมเข้ามาเพราะอะไร ทำไมถึงต้องเข้ามา อย่าลืม การที่ผมเข้ามาหลายอย่างดีขึ้นจนเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่นโยบาย 4.0 ซึ่งผมเป็นคนทำทั้งหมด ถ้าวันนั้นไม่เข้ามาวันนี้ก็ยังไม่เกิด เพราะมัวแต่สาละวนแก้ปัญหาการเมือง แต่ยืนยันผมไม่มีการเมือง แต่ต้องทำงานร่วมกับการเมือง ดังนั้นต้องไปด้วยกันให้ได้ ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีรูปแบบของเรา แล้วทำไมต้องทำเหมือนคนอื่นทั้งหมดความเป็นไทยหายไปไหน ถ้าจะเอาชนะทางการเมือง ประเทศชาติล่มสลาย ถ้าเกิดแบบนั้นก็ให้รอดู แล้วทุกคนก็จะอยู่บนแผ่นดินร้อนระอุลุกเป็นไฟ ก็ว่ากันไปก็เเล้วกัน ผมก็สุดกำลังสติปัญญาของผม"