ผู้ปกครองขอย้ายโรงเรียนลูกสาววัย 13 ปี หลังถูกรุ่นพี่ ม.3 ข่มขืนในห้องน้ำโรงเรียน ข้องใจครูไม่แจ้งให้ทราบแต่แรก แถมให้กินยาคุมฉุกเฉิน
หลังจากวานนี้ ตำรวจภูธรโนนสูงพาเด็กหญิงวัย 13 ปี นักเรียนชั้น ม.1 ไปชี้จุดเกิดเหตุบริเวณห้องน้ำภายในโรงเรียนที่อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา หลังแม่พาไปร้องมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี และพาเข้ามาแจ้งความ ระบุว่า ลูกสาวถูกรุ่นพี่ชั้น ม.3 อายุ 15 ปี โรงเรียนเดียวกันข่มขืนกระทำชำ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน และผ่านมากว่า 1 เดือน เพิ่งทราบความจริง
ล่าสุด เด็กผู้เสียหายพร้อมผู้ปกครอง เข้าให้ปากคำต่อหน้าอัยการ และสหวิชาชีพ ซึ่งเด็กผู้เสียหายเผยว่า ถูกข่มขืนจริง
ส่วนแม่ของเด็ก แจงว่า ทีแรกเห็นลูกสาวเหม่อลอย มึนงง ทำร้ายตัวเอง เมื่อเค้นถามลูกยอมรับว่าถูกรุ่นพี่ลวงไปข่มขืน มิหนำซ้ำ มีครูนำยาคุมฉุกเฉินมาให้กิน 2 เม็ด จนลูกสาวมีอาการปวดท้อง เลือดออกทางช่องคลอด เข้าโรงพยาบาล 4 ครั้ง
ต่อมาทางโรงเรียน เรียกผู้ปกครองของนักเรียนที่ก่อเหตุ เสนอเงิน 4 หมื่นบาทเพื่อให้จบเรื่อง แต่ไม่ขอรับไว้ และไม่อนุญาตให้ลูกไปเรียนอีกเลย เนื่องจากห่วงสภาพจิตใจ แต่ทางโรงเรียนกลับส่งหนังสือมาแจ้งค่าปรับ 1 หมื่นบาท ฐานปล่อยลูกสาวขาดเรียน
ทั้งนี้ ทำเรื่องขอย้ายโรงเรียนให้ลูกสาวแล้ว ส่วนที่เข้าแจ้งความไม่ใช่จะเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ต้องการให้เป็นคดีตัวอย่าง พร้อมวอนหน่วยงานต้นสอบพฤติกรรมของครูในโรงเรียน ที่ปล่อยปละละเลย ทั้งไม่ยอมแจ้งตำรวจ และแจ้งผู้ปกครองให้ทราบ
ด้านนายพยุงศักดิ์ เสริฐสูงเนิน ผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าว ออกมาชี้แจงแล้ว โดยอ้างว่าที่เรียกค่าปรับ 1 หมื่นบาท เป็นการที่โรงเรียนปฏิบัติตามระเบียบของ สพฐ. มีหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร
ส่วนเงินช่วยเหลือจำนวน 4 หมื่นบาท ได้เสนอให้จริง โดยผู้ปกครองเด็กหญิงเสนอเงิน 6 แสนบาท แต่ฝ่ายชายปฏิเสธว่าไม่มีเงิน และเสนอเงินให้ 2 หมื่นบาท โรงเรียนช่วยเหลืออีก 2 หมื่นบาท แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอม จึงยังไม่ได้ส่งมอบ
สำหรับประเด็นที่ครูให้เด็กกินยาคุมฉุมเฉินหลังเกิดเหตุ และไม่แจ้งผู้ปกครองนั้น ขอไม่เปิดเผย ให้เป็นไปตามกระบวนการสอบสวนของตำรวจ
ด้านพ่อของเด็กชายที่ก่อเหตุ ยืนยันว่า ลูกชายเป็นเด็กดี เลิกเรียนก็จะช่วยทำงานบ้าน ออกไปเล่นกีฬาตามปกติ ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะลูกชายมาบอกเอง ว่าเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นจากการสมยอม ไม่ได้ข่มขืน ตอนนี้ลูกชายถูกคุมตัวส่งสถานพินิจฯ ได้แต่ทำใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร คงต้องไปต่อสู้กันในชั้นศาล