เจ้าหน้าที่เข้าติดประกาศแจ้งให้ผู้บุกรุกเลี้ยงปลากระชังในเขื่อนลำนางรองที่เหลือ 12 ราย เร่งรื้อย้ายกระชังปลาออกจากพื้นที่อ่างเก็บน้ำ ภายใน 15 วัน หากยังเพิกเฉย จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายสุพัฒน์ ฤทธิชู ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำนางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วยนายสรรเพ็ชร เรืองรอง หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ บร.5 (ลำนางรอง) นำกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทหาร ตำรวจ ประมง และฝ่ายปกครองอำเภอโนนดินแดง เข้าติดประกาศแจ้งให้ผู้บุกรุกเลี้ยงปลากระชังเชิงธุรกิจในพื้นที่เขื่อนลำนางรองที่เหลืออีก 12 ราย 254 กระชัง จากทั้งหมด 27 ราย 425 กระชัง ได้เร่งรื้อย้ายกระชังปลาออกจากพื้นที่บุกรุก เนื่องจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำนาง รองอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดงใหญ่ ประกอบกับได้สิ้นสุดระยะเวลาการขออนุญาตเลี้ยงจากกรมประมงแล้วตั้งแต่ปี 2555

อีกทั้งการประปาฯ จะย้ายแหล่งน้ำดิบใหม่ จากอ่างเก็บน้ำคลองมะนาว มาใช้น้ำดิบที่เขื่อนลำนางรองหล่อเลี้ยงประชาชนในพื้นที่ อำเภอโนนดินแดง และ อำเภอละหานทราย เนื่องจากแหล่งน้ำดิบเดิมไม่เพียงพอกับปริมาณการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มวันที่ 1 กันยายนที่จะถึงนี้ จึงเกรงว่าหากปล่อยให้เลี้ยงปลากระชังในเขื่อนลำนางรอง เกรงว่าจะเกิดน้ำเน่าเสียกระทบต่อการผลิตประปา ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้ผ่อนผันให้เพาะเลี้ยงปลากระชังมาเป็นเวลากว่า 7 เดือนตามข้อตกลงแล้ว โดยมีผู้บุกรุกยอมรื้อย้ายกระชังปลาออกเพียง 15 ราย 171 กระชัง แต่ยังเหลืออีก 12 รายที่ไม่ยอมรื้อย้ายออก

เจ้าหน้าที่จึงนำใบประกาศเข้าติดที่แพปลา และศาลากลางหมู่บ้าน เพื่อแจ้งให้ผู้บุกรุกรื้อย้ายกระชังปลาออก หรือนำเอกสารมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ภายใน 15 วัน หากครบกำหนดไม่นำเอกสารมาแสดง หรือไม่รื้อถอน เจ้าหน้าที่จะเข้ารื้อย้ายปลากระชังออก และผู้บุกรุกจะต้องรับผิดชอบค่าดำเนินการรื้อถอนทั้งหมดด้วย

ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำนางรอง เปิดเผยว่า การเลี้ยงปลากระชังในเขื่อนลำนางรอง เป็นการบุกรุกพื้นที่และปิดกั้นทางน้ำไหล ซึ่งเกรงว่าจะส่งผลกระทบทำให้น้ำในเขื่อนที่จะนำไปผลิตประปาเน่าเสีย จึงต้องให้ผู้บุกรุกรื้อย้ายกระชังปลาออกจากพื้นที่เขื่อน ซึ่งขณะนี้ทางเขื่อนก็ได้แจ้งความตามขั้นตอนแล้ว หากรายใดฝ่าฝืนหรือเพิกเฉยก็จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย

ด้านนายสรรเพ็ชร เรืองรอง หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ บร.5 กล่าวว่า หลังติดประกาศแจ้งให้ผู้บุกรุกทราบและปฏิบัติแล้ว หากยังเพิกเฉยไม่ยอมรื้อย้ายกระชังปลาออก ก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่จำเป็นต้องหาพื้นที่รองรับหรือเยียวยา เพราะเป็นการบุกรุกเลี้ยงในพื้นที่ป่าสงวนทำประโยชน์ในเชิงธุรกิจ