พระพยอมเจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ออกมาร้องขอความเป็นธรรม หลังที่ดินส่วนหนึ่งบริเวณวัดสวนแก้ว อาจต้องถูกยึดคืน แม้ว่าจะต้องเสียเงินซื้อมาถึง 10 ล้านบาท

พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว นำถุงกล้วยแขกที่ทำจากสำเนาโฉนดที่ดิน แปลงที่วัดซื้อต่อจากผู้ครอบครองคนหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2547 ตามกฎหมายถูกต้อง แต่สุดท้ายโฉนดแปลงดังกล่าวก็กลับเป็นโมฆะ ซึ่งพระพยอมบอกว่าไม่ต่างจากถุงกล้วยแขก เป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ที่ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นถึงช่องว่างทางกฏหมายเรื่องที่ดินไทย

สำหรับที่ดินแปลงที่เป็นปัญหา มีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ที่วัด โดยทำการซื้อขายตามขั้นตอนทุกอย่างถูกต้อง โดยที่ดินนี้เป็นของบุคคลหนึ่งที่เคยอาศัยที่ดินของญาติและเอาที่ดินมาเป็นของตนเองด้วยการร้องขอต่อศาลด้วยวิธีการที่อ้างว่าอาศัยมานานกว่า 10 ปี เป็นปรปักษ์ของตัวเอง เมื่อออกโฉนดได้ ต่อมานำไปขายให้วัด แต่พอเจ้าของเดิมรู้ก็ฟ้องเรียกที่ดินคืนและคนที่ขายที่ดินก็ไปเซ็นยินยอมว่าไม่ได้ปรปักษ์เพราะรู้แก่ใจว่าเป็นของญาติ ทำให้ทางวัดสวนแก้วต้องเสียเงินฟรีๆ 10 ล้าน

ปัญหานี้เกิดจากช่องว่างทางกฎหมาย และมองว่าเรื่องนี้มีการทำเป็นขบวนการ เพราะตอนที่ทางวัดจะตัดสินใจซื้อ ก็มีความลังเลอยู่ แต่เจ้าหน้าที่ที่ดินบอกว่า โฉนดมีตราครุฑจะกลัวอะไร อย่าเป็นพระขี้ลังเล จึงเป็นอีกเหตุผลที่ตัดสินใจซื้อในตอนนั้น

พระพยอม ยังอ้างถึงตามหลักพระพุทธศาสนาว่า การฉ้อโกงเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน หากตายไปจะต้องรับผลกรรม ด้วยการไปแบกแผ่นดินในนรก

ยืนยันว่าโฉนดที่ได้มานั้นถูกต้องตามกฎหมาย ที่ออกมาร้องตอนนี้เพราะต้องการความชัดเจน อาตมาไม่ใช่พระชอบหาเรื่อง แต่ไม่สามารถเพิกเฉยดูดายปล่อยให้ประชาชนเป็นทุกข์จากหน่วยงานราชการได้

นอกจากนั้นทีมข่าวจึงลงพื้นที่ ไปสำรวจแปลงที่ดินดังกล่าว และพบกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ระบุว่า ที่ดินผืนนี้ ชาวบ้านเช่ากันอยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการขายให้กับวัดสวนแก้ว ซึ่งเป็นที่ดินของทายาทเจ้าของจริงๆ ทางวัดไม่ได้มีสิทธิ์ครอบครองตามที่กล่าวอ้าง แต่เมื่อทีมข่าวพยายามคุยถึงที่มาของทายาทผู้ครอบครองคนปัจจุบัน ชาวบ้านกลับเดินหนีและปฎิเสธที่จะให้ข้อมูล

พระพยอม ลั่น ใครโกงที่ดินคนอื่น ต้องไปแบกที่ดินในนรก