ตำรวจเตรียมประสาน ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ทหารยศพลตรี สังกัดกองทัพไทย ตั้งแก๊งอุ้มนักธุรกิจท่องเที่ยวชาวจีนไปเรียกค่าไถ่ ล่าสุดมี ชาวจีนอีก 2 คน เข้าให้ข้อมูลว่าถูกเรียกค่าคุ้มครอง เปิดร้านนวดในพัทยากว่า 10 ล้านบาท และแก๊งนี้ยังเกี่ยวโยงกับขบวนการปล่อยเงินกู้นอกระบบ ย่านดอนเมืองด้วย

ความคืบหน้าคดี ทหารยศพลตรี สังกัดกองทัพไทย ร่วมกับ ตำรวจปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และ พวกรวม 10 คน แต่งชุดทหารเข้าไปอุ้มตัว นายสุรชัย แซ่ย่าง นักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีน ไปเรียกค่าคุ้มครอง เงิน 20 ล้านบาท โดยญาติของนายสุรชัย ได้ต่อรองและ โอนเงินให้กลุ่มผู้ต้องหาไป 2 ล้านบาท ก่อนที่ นายสุรชัย ได้ปล่อยตัวมาเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา และเข้าร้องทุกข์จนสามรถจับผู้ต้องหาได้ 8 คน

พลตำรวจตรี สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการสายตรวจและปฎิบัติการพิเศษ หรือ 191 เปิดเผยความ คดีนี้ยังมีผู้ต้องหาหลบหนีอีก 2 คน คือ นายอุทิศ ก่อแก้ว และนายฐิติกร ชื่นอุรา ตำรวจได้แบ่งชุดสืบสวนออกติดตามจับกุมจากเบาะแสพบว่า ยังกบดานอยู่ในประเทศ

สำหรับผู้ต้องหาแก๊งนี้ยังพบว่า ก่อเหตุเช่นนี้มาไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง มีการเรียกเงินผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ขณะนี้มีผู้เสียหาย เข้าร้องทุกข์แล้ว 4 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนมาทำธุรกิจทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา

สำหรับพฤติการณ์ผู้ต้องหาแก๊ง แบ่งหน้าที่กันชัดเจน โดย มี พลตำรวจตรี นายตำรวจสังกัดกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ทำหน้าที่หาข้อมูลชาวจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศ จากนั้นจะออกอุบายเข้าตรวจสอบบริษัทว่ามีการจดทะเบียนถูกต้องหรือไม่ และจะทำทีตรวจสอบบัตรประชาชน โดยมีนายโก๊ะ เต็ก ชวน ชาวสิงคโปร์ ทำหน้าที่ชี้เป้าเลือกเหยื่อ และทำหน้าที่เป็นล่ามพูดจากล่อมเหยื่อเพื่อให้ยอมโอนเงิน

พลตำรวจตรี สุรเชษฐ์ ยืนยันไม่หนักใจ แม้ผู้ต้องหาแก๊งนี้จะเป็น ทหานยศนายพล และตำรวจยศพลตำรวจตรี และบางส่วนได้รับการปล่อยชั่วคราวไปก่อนหน้านี้ ยืนยันตำรวจมีหลักฐานทั้งภาพวงจรปิด และหลักฐานการก่อเหตุแล้ว 4-5 คดี จึงขอให้ผู้ที่เคยถูกผู้ต้องหาก่อเหตุรีดทรัพย์ เข้าให้ปากคำกับตำรวจ ซึ่งจะแยกดำเนินคดีเป็นรายๆ เพื่อให้ผู้ต้องหารับโทษเพิ่มขึ้น

ด้าน พันตำรวจเอกศรายุทธ จุณณวัตต์ ผู้กำกับการ สน.โคกคราม เปิดเผยว่า หลังจับกุมผู้ต้องหาได้ ก็มีผู้เสียหายมาขอดูข้อมูลและให้ปากคำกับตำรวจแล้ว 4 คน เป็นนักธุรกิจชาวจีน ที่กลุ่มผู้ต้องหาอ้างว่าสามารถช่วยเหลือคดีใช้บัตรประชาชนปลอม และถูกรีดเงินไป 4ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อปี 2557 ในพื้นที่ สน.วังทองหลาง และอีกรายเป็นชาวจีน ที่ต้องการมีบัตรประชาชนไทย ถูกกลุ่มผู้ต้องหาหลอกเอาเงินไปกว่า 7แสนบาท เหตุเกิดเมื่อกลางปีที่แล้ว ในพื้นที่ สน.ห้วยขวาง

นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียหายชาวจีน ในจังหวัดชลบุรีอีก 2 ราย ที่เปิดร้านนวดแผนโบราณ ถูกผู้ต้องหาเข้าไปเรียกค่าคุ้มครองไปกว่า 10 ล้านบาท นอกจากพฤติกรรมอุ้มเรียกค่าไถ่แล้ว ยังมีความเกี่ยวพันกับแก๊งปล่อยเงินกู้นอกระบบ ในย่านดอนเมืองด้วย

ขณะนี้ตำรวจ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบเส้นทางการเงิน ของผู้ต้องหา พร้อมเตรียมประสานข้อมูลกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง.เพื่อตรวจสอบว่า มีหลักฐานเพียงพอเอาผิดตามมูลฐานการฟอกเงินหรือไม่

ด้านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า กรณี "พลตรี"ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการอุ้มรีดค่าไถ่นักธุรกิจ ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าผิดก็ต้องจับกุม เพราะทหารจะทำความผิดและทำทุจริตไม่ได้ ยืนยันว่าทางกองทัพไม่มีการช่วยเหลือ หากผิดให้ดำเนินการเต็มที่ตามกฎหมาย นอกจากโทษทางอาญา จะมีความผิดร้ายแรงกว่าวินัยทหารด้วย

ขณะที่พลตรีคงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ย้ำว้า หากกำลังพลกระทำผิดจริง กระทรวงกลาโหมจะไม่ละเว้น แต่ขณะนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สำหรับโทษทางวินัย จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว หากมีความผิดก็จะต้องพักราชการ

แก๊ง "พลตรี" รีดทรัพย์เรียกค่าคุ้มครองร้านนวดพัทยา 10 ล้าน