ศาลฎีกามีคำสั่งยืนจำคุก 4 ปี วริศรียา หรือ อ้อ บุญสม แนวร่วม นปช.วางระเบิดภูมิใจไทย โดยระบุว่าศาลอุทธณ์ลงโทษเป็นเพียงพยานบอกเล่าซัดทอดไม่สามารถรับฟังได้
เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 5 กรกฎาคม ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำ อ.1007/2554 ที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายเดชพล พุทธจง อายุ 62 ปี อาชีพค้าขาย, นายกำพล คำคง อายุ 48 ปี ขี่รถจยย.รับจ้าง, นายกอบชัย หรือ อ้าย บุญปลอด อายุ 49 ปี อาชีพค้าขาย, นางวริศรียา หรือ อ้อ บุญสม อายุ 49ปี อาชีพตกแต่งภายใน และนายสุริยา หรือ อ้วน ภูมิวงษ์ อายุ 45 ปี อาชีพช่างทำบั้งไฟ ร่วมเป็น จำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันทำวัตถุระเบิดมีวัตถุระเบิดที่ออกใบอนุญาตไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธ(วัตถุระเบิด) ไปในเมืองฯ โดยไม่มีเหตุสมควร และกระทำให้เกิดระเบิดฯ ตามความผิดพ.ร.บ.อาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 4, 38, 74, ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 221, 222, 218, 371
กรณีเมื่อระหว่างต้นเดือน มิถุนายน2553-22 มิถุนาบน2553 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันผลิต และร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่ทำขึ้น โดยร่วมกับนายเอนก สิงขุนทด เป็นผู้เข็นรถเข็นผลไม้ที่ซุกซ่อนระเบิดไว้ในถังแก๊ส เข็นผ่านไปทางด้านของอาคารที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ใกล้ซอยพหลโยธิน 43แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. จนเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้ผนังด้านหลังอาคารพรรคภูมิใจไทยแตกเสียหายเพิงโรงเรือนร้านค้าขายอาหารตามสั่งของนายแถม ตรุพิมาย ถูกแรงระเบิดเสียหายพังทั้งหลัง เป็นเงิน 50,000 บาท รถยนต์เก๋งทะเบียน ธต 7963กทม. ของว่าที่ ร.ต.ภูมิรัตน์ นาคอุดม ได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 40,000 บาท ส่วนนายเอนก สิงขุนทด ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนตาพิการ(บอด)ทั้งสองข้าง จากเหตุระเบิดดังกล่าว เหตุเกิดที่แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.
โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา 16 กันยายน 56 สั่งจำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 6 ปี 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 3 ปี 4 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 4
ต่อมาวันที่ 21 กันยายน 58 ศาลอุทธรณ์ เห็นว่าจำเลยที่1-4 เป็นตัวการร่วมกันสั่งการ โดยแบ่งหน้าที่กันทำ และมีวัตถุระเบิดที่จำเลยที่ 5 ประกอบขึ้น ส่วนจำเลยที่ 4 แม้จะไม่ได้ร่วมในเหตุการณระเบิด แต่ก็คอยใช้โทรศัพท์มือถือสอบถามติดตามสถานการณ์โดยตลอด จึงมีความผิดร่วมกับจำเลยที่ 1-3 ด้วย จึงพิพากษาแก้ จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 4 ปี ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 2 ปี 8 เดือน สำหรับนายสุริยา จำเลยที่ 5 ซึ่งหลบหนี และศาลได้ออกหมายจับ ให้ปรับนายประกัน 5 แสนบาท แต่ยังไม่สามารถติดตามตัวจำเลยที่ 5 มาฟังคำพิพากษาได้ ส่วนนายอเนก สิงขุนทดซึ่งเป็นคนเข็นรถขายผลไม้ซุกซ่อนระเบิด อัยการได้แยกฟ้องเป็นคดีดำ อ.2930/2553 ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษจำคุก 27 ปี 6 เดือน และปรับ 50 บาทไปเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 59
โดยในวันนี้ นางวริศรียา ที่ได้ประกันตัวไประหว่างฎีกาเดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาพร้อมด้วยทนายความและคนใกล้ชิด
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ที่ นางวริศรียา จำเลยที่ 4 ฎีกาว่าที่ศาลอุทธณ์ลงโทษนั้นเป็นเพียงพยานบอกเล่าซัดทอดที่ไม่สามารถรับฟังได้ นั้นศาลฎีกาเห็นว่าการรับฟังพยานบอกเล่าที่ซัดทอดที่จำเลยอ้างว่าตามกฏหมายห้ามไม่ให้รับฟังนั้นแต่ก็ไม่ได้ห้ามโดยเด็ดขาดโดยศาลสามารถที่จะรับฟังประกอบกับสภาพแวดล้อมข้อเท็จจริง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว จำเลยที่ 1,2,5 ให้การหลังถูกจับกุมเพียง2วันซึ่งยากต่อการปรุงสรรแต่งเรื่องราว และคำให้การที่กล่าวเป็นการบอกเล่าถึงข้อมูลเหตุการณ์การกระทำผิดซึ่งศาลสามารถที่จะรับฟังและนำไปพิจารณาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ไม่ได้เป็นการเชื่อคำซัดทอดเพียงอย่างเดียว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลย ที่ 1,3,5และนาย อเนก คนเข็นรถผลไม้ที่บรรทุกระเบิด ให้การสอดคล้องต้องกันได้ความว่ามีการประกอบวัตุระบิดกันที่บ้านของจำเลยที่ 4 แม้จำเลยที่ 4 จะมีบ้านอีกหลังแต่พบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีพื้นที่ไม่ไกลกัน จึงไม่เชื่อว่าจำเลยจะไม่มีส่วนรู้เห้นว่ามีการประกอบวัตถุที่บ้านของจำเลย
ส่วนที่จำเลยที่ 4 อ้างว่าจำเลยที่ 4 ไม่ใช้สมาชิก นปช.เป็นเพียงเจ้าหน้าที่มุลนิธิพรรคเพื่อไทยและในคอมพิวเตอร์ของจำเลยก็ไม่มีสูตรการทำระเบิดเห็นว่าข้อเท็จจริงที่อ้างดังกล่าวเป็นเพียงข้อรู้เห็นของจำเลยเพียงคนเดียวและข้อมูลในการกระทำผิดจำเลยยิ่งต้องมีการระวังโดยการลบหรือต้องทำลาย และเมื่อพิจาณาถึงการกระทำที่สอดคล้องต้องกัน เห็นว่าฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
นายพลเทพ ปวนยา ทนายความกล่าวว่า วันนี้ศาลฎีกาพิพากษายื่นตามศาลอุทธรร์คงจำคุก 4 ปีนางวริศรียา ซึ่งก่อนหน้านี้ นางวริศรียาจำคุกมาแล้ว 8 เดือน ก็จะต้องรับโทษที่เหลือต่อ สำหรับคดีนี้จำเลยนายเดชพลจำเลยที่ 1นายกำพล จำเลย 2 ไม่ได้ยื่นฎีกา และได้รับโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสร็จสิ้นแล้ว ส่วนจำเลยที่ 3นายกอบชัย และนายสุริยา จำเลยที่ 5 หลบหนีไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ซึ่งศาลก็ได้ออกหมายจับไปแล้ว