ภรรยาน้องชาย 'ไฮโซตั๋ม' เข้าแจ้งความถูกสามีพรากลูกสาว วัย 4 ขวบ ไม่ให้พบเจอหน้า แม้ว่าพาตำรวจไปเจรจาถึงหน้าบ้าน ก็ไม่มีใครสนใจ

นางสาวมัลลิกา เรียนรู้ ภรรยาของ นายสุวิชชา ลีนุตพงษ์ น้องชายของ นาวสาววิชชุดา ลีนุตพงษ์ หรือ “ไฮโซตั๋ม” เดินทางเข้าพบตำรวจ สน.ปทุมวัน เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกรณี สามี พรากลูกสาววัย 4 ขวบไป ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยยังไม่ยอมส่งลูกคืนให้กลับไปดูแล

นางสาวมัลลิกา เล่าว่า วันเกิดเหตุ (23มี.ค.) นายสุวิชชา(สามี) ได้ไปรับลูกสาวจากโรงเรียนช่วง 16 นาฬิกา โดยบอกว่า จะพาไปกินข้าว และ ให้มารับในช่วง 19:30 นาฬิกา แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายสามีได้ส่งข้อความ บอกว่า 'ไม่ต้องมารับลูก'” และ ยังได้ส่งเอกสารยื่นร้องศาลขอเป็นผู้ปกครองลูกสาวมาให้ดู

ต่อมา วันที่ 25 มีนาคมตนเอง จึงได้ส่งข้อความไปบอกสามีว่า จะไปรับลูก ในวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม และเมื่อไปถึงหมู่บ้าน ปรากฎว่า รปภ.กลับไม่ยอมให้เข้าบ้านอ้างว่า แม่สามีสั่งไว้ จึงเดินทางมาแจ้งความ ดำเนินคดีกับสามีในข้อหาพรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากการปกครองของมารดา

หลังเข้าแจ้งความ นางสาวมัลลิกา พร้อมตำรวจสายตรวจ สน.ปทุมวัน ได้เดินทางไปยังบ้านสามี ซอยเกษมสันต์ 2 แขวงวังใหม่ เพื่อขอเจรจารับลูกสาวตัวกลับบ้าน แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครในบ้านเดินออกมาเจรจาแม้แต่คนเดียว

นางสาวมัลลิกา กล่าวทั้งน้ำตาว่า ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรแล้ว มาเจรจาก็ไม่ให้เข้าบ้าน หัวอกคนเป็นแม่ ไม่ได้เจอหน้าลูกตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.และ เด็กไม่ได้ไปเรียนหนังสือ ตั้งแต่ถูกพาตัวไปก่อนเดินทางกลับ ไป

ด้าน นายธีรธร มรกตจินดา ทนายความ กล่าวว่า นางสาวมัลลิกาและสามี ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ดังนั้นสิทธิ์การปกครองบุตรจึงเป็นของนางสาวมัลลิกาอย่างถูกต้อง พร้อมเล่าว่า ตั้งแต่เด็กหญิงเกิดทั้งคู่เลี้ยงดูอยู่บ้านดังกล่าว แต่เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แยกทางกัน นางสาวมัลลิกา พาลูกออกไปเลี้ยงเอง โดยตกลงว่าให้สามีรับลูกไปดูแล 3 วัน คือ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันเสาร์ แต่มาวันนี้ฝ่ายสามีกลับไม่ให้น้องพบหน้าแม่ โดยหลังจากนี้ตำรวจจะเชิญตัวสามี มาพูดคุยกันอีกครั้ง

ขณะที่ 'ไฮโซตั๋ม' ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวชี้แจงว่าเรื่องกรณีที่เกิดขึ้น ว่า ไม่ใช่เรื่องของตนเอง และมีเด็ก(หลาน)เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่ต้องการให้เป็นข่าว เพราะเมื่อหลานโตขึ้นมาก็จะเป็นปมติดตัวไปตลอดชีวิต แต่หากใครอยากรู้ความจริงให้ไปที่ ศาลเยาวชนวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ พร้อมชี้แจง ว่า น้องชาย รับดูแลเรื่องการศึกษา ค่ารักษาพยาบาล จนกว่าเด็กบรรลุนิติภาวะ พร้อมให้เงินค่าเลี้ยงดูเดือนละ 5 หมื่นบาทแค่ให้เด็กมาพบพ่อ อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ต่อมามีเรื่องกับ ย่าและป้าของเด็ก กลับมาข่มขู่พ่อ ว่าจะไม่ให้เด็ก ส่วนตัวเห็นว่าแม่เด็กควรต้องแยกแยะ ส่วนเรื่องที่ไปแจ้งความเชื่อว่าเกิดจากอารมณ์