ชาวบ้านชายทะเลจากจังหวัดสตูล ช่วงนี้ตื่นกันแต่เช้ามืด เพราะต้องรีบไปตามล่าเก็บและหาหอยท้ายเภา
บรรยากาศการหาหอยของชาวบ้านริมชายหาดที่หมู่บ้านบุโบย ตำบลแหลมสน อำเภอละงู ที่ต่างก้หิ้วเครื่องมือไม้ไผ่และมีดปลายแหลมพร้อมไฟฉายคาดที่หัว พาลูกหลานเดินทางไปยังริมชายหาดในช่วงฟ้าใกล้สว่าง ซึ่งเป็นช่วงน้ำทะเลลด ออกไปหาหอยท้ายเภาที่ขึ้นมาซ่อนตัวอยู่ในโคลนหรือขี้เลนกันเป็นจำนวนมาก
ขณะเด็กๆที่มากับผู้ปกครองจะมีความถนัด และช่วยสังเกตที่รูดินโคลน ถ้าพบว่ามีฟอง ก็จะใช้เครื่องมือหรือไม้ไผ่ที่หามา แซะลงไปและมือลวงลงโคลนอย่างสนุกสนาน ดึงหอยท้ายเภาตัวใหญ่ขึ้นมา และดีใจเมื่อหาได้เป็นจำนวนมาก ต่างนำไปขายให้กลับพ่อค้าแม่ค้าคนกลาง ที่มารับซื้อที่ริมชายหาดในราคาสูง ถึงกิโลกรัมละ 300 ถึง 400 บาท เพราะหอยท้ายเภา เป็นหอยที่มีรสชาติอร่อยหวานหากนำไปปรุงแต่ง เช่น ผัดกระเพราหอย และต้มลวกจิ้ม
นายสมศักดิ์ กรรโชค ชาวบ้านหาหอยท้ายเภากล่าวว่า สำหรับหอยท้ายเภาเป็นหอยธรรมชาติกรมประมงเอง ก็ยังไม่สามารถขยายพันธุ์เพื่อใช้ในทางพาณิชย์ได้ ในขณะที่เป็นความต้องการของตลาดสูงเพราะมีรสชาติอร่อย จึงทำให้มีการมุ่งจับกันจนสถานการณ์ของหอยท้ายเภามีโอกาสจะสูญพันธุ์เป็นไปได้สูงมาก
ลักษณะหอยท้ายเภา หรือหอยตะเภา เป็นหอยสองฝาขนาดใหญ่ (ยาวประมาณ 5-10 ซม.) ผิวนอกของเปลือกมีสีเขียวเหลือง บางตัวสีค่อนข้างคล้ำ รูปร่างเป็นรูปสามเหลี่ยมท้ายงอน ขึ้นคล้ายท้ายเรือสำเภา
ชาวบ้านในบางท้องถิ่นจึงเรียกกันว่า “หอยท้ายเภา” หรือ “หอยท้ายสำเภา” เปลือกฝาซ้ายและขวาเท่ากันและฝาทั้งสองข้างประกบกันสนิท
เปลือกด้านในจะมีสีม่วงอ่อนฝังตัวอยู่ใต้พื้นทรายซึ่งเป็นทรายปนโคลนตามบริเวณชายหาดที่มีพื้นที่ลาดชันเล็กน้อย จะมีท่อน้ำซึ่งอยู่ตอนท้ายยื่นยาวขึ้นมาเหนือพื้นทรายเพื่อหายใจ และกินอาหาร
จัดอยู่ในตระกูลเดียวกันกับหอยเสียบการเก็บหอยตะเภาสามารถทำได้ 2 ช่วง คือ เดือนตุลาคม-ธันวาคม และ เดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม