พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ เผยเลือกจังหวัดจันทบุรีเป็นพื้นที่ปลอดภัยจัดประชุม GBC ขอบคุณทหารกัมพูชาบางส่วนเก็บหลักฐานละเมิดอนุสัญญาออตตาวาไว้ให้ฝ่ายไทย
วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เวลา 09.30 น. พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี โดยก่อนเข้าประชุมได้ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ระบุว่า วันนี้ตนไม่อยากพูดรายละเอียดมากนัก เนื่องจากไม่ต้องการให้แต่ละฝ่ายทราบท่าทีล่วงหน้า แต่เห็นใจสื่อมวลชนที่อาจไม่มีข่าวรายงาน จึงขอพูดเฉพาะข้อเท็จจริงจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ พร้อมยืนยันว่าการประชุมในวันถัดไปเป็นเพียงการประชุมในระดับฝ่ายเลขานุการ หากการประชุมไม่เป็นไปตามที่ตนคาดหวัง ตนก็จะไม่ลงนามใด ๆ

ตนกล่าวถึงพฤติกรรมของกัมพูชา โดยย้ำว่ามีข้อมูลชัดเจน 5 ประเด็นสำคัญ
ประเด็นแรก กองทัพกัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา จากข้อมูลล่าสุดพบว่ามีการครอบครองทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่อนุสัญญาออตตาวาห้ามไว้ อีกทั้งยังมีหลักฐานการนำรถถังและทุ่นระเบิดมาดัดแปลงเป็นระเบิดสังหารบุคคลรูปแบบใหม่ ตนขอบคุณทหารกัมพูชาบางส่วนที่เก็บหลักฐานไว้ให้ฝ่ายไทย จากการตรวจพบหลักฐานในบ้าน 3 หลัง รวมถึงเอกสารที่ระบุพิกัดและวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ซึ่งไทยและกัมพูชามีการลงนาม Joint Declaration เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ให้ไว้
ประเด็นที่สอง กัมพูชาใช้ศาสนสถานเป็นที่ตั้งทางทหาร อาทิ ปราสาททวาย ปราสาทเขาพระวิหาร และปราสาทคนา
ประเด็นที่สาม ทหารกัมพูชาใช้ชุมชนพลเรือนเป็นที่ตั้งยิงอาวุธ โดยใช้อาวุธ BM-21 ยิงเสร็จแล้วหลบเข้าไปในชุมชน ทำให้ฝ่ายไทยไม่สามารถตอบโต้ได้เต็มที่ เนื่องจากฝ่ายไทยเคารพกติกา ไม่โจมตีบ้านเรือนหรือพลเรือน ซึ่งกัมพูชาใช้ช่องว่างนี้เป็นเครื่องมือ
ประเด็นที่สี่ กัมพูชาใช้อาคารพลเรือนเป็นที่ตั้งทางทหารและเป็นคลังอาวุธ โดยส่วนใหญ่เป็นอาคารในลักษณะสแกมเมอร์หรือคาสิโน เมื่อฝ่ายไทยเข้าดำเนินการอาคารดังกล่าวจึงได้รับความเสียหาย ตนยืนยันว่าไทยไม่ได้มุ่งโจมตีพลเรือน แต่เป็นการทำลายที่ตั้งทางทหาร
ประเด็นที่ห้า กัมพูชาใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ หลายครั้งพบว่าทหารกัมพูชานำพลเรือน รวมถึงหญิงชายที่ไม่ใช่ทหาร เข้ามาอยู่ในแนวปะทะ หากเกิดการสูญเสีย จะนำมาโจมตีฝ่ายไทยในเชิงข้อมูลข่าวสาร
ตนกล่าวว่า ทั้ง 5 ประเด็นนี้เป็นฐานคิดในการประเมินสถานการณ์ พร้อมอธิบายแนวทางการดำเนินการของไทยว่า แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะแรกคือการใช้สันติวิธีและการเจรจา โดยพยายามให้กัมพูชาถอนกำลังออกไป เนื่องจากตนเชื่อว่าการชนะโดยไม่ต้องรบคือสิ่งที่ดีที่สุด ระยะที่สองคือการพยายามหยุดยิง หลังจากเกิดเหตุปะทะ โดยให้โอกาสกัมพูชาในทางที่ดีว่าอาจไม่ได้มีเจตนา
อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานที่พบ โดยเฉพาะการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลภายหลังการลงนามข้อตกลงเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ทำให้เห็นชัดว่ากัมพูชาไม่มีความจริงใจ จึงเข้าสู่ระยะที่สาม ซึ่งหมายถึงการดำเนินการที่เข้มข้นขึ้นตามสถานการณ์
ตนระบุว่า แม้รัฐบาลกัมพูชาจะประกาศพร้อมหยุดยิง แต่ในทางปฏิบัติยังมีการระดมยิงเข้ามาในฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมยืนยันว่าไทยยังยึดถืออนุสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศ แต่รูปแบบการดำเนินการย่อมไม่เหมือนเดิม
ทั้งนี้ ตนย้ำผ่านสื่อมวลชนไปถึงประชาชนว่า ขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลและกองทัพจะปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ โดยฝ่ายไทยดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และใช้หลักการป้องกันตัวตามมาตรา 51 อย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ ตนยอมรับว่าในเวทีระหว่างประเทศ หลายประเทศแสดงท่าทีเป็นกลาง แต่รับฟังข้อมูลจากกัมพูชา และมองว่าไทยเป็นฝ่ายรุกราน ซึ่งตนยืนยันในฐานะผู้รับผิดชอบด้านนโยบายว่า ไทยป้องกันตัวเอง และยึดกฎหมายเป็นที่พึ่งเพียงอย่างเดียว
ตนกล่าวขอบคุณประชาชนและสื่อมวลชนที่เข้าใจ พร้อมระบุว่า สถานการณ์ในปัจจุบันไม่ใช่เพียงมิติทางการทหาร แต่ครอบคลุมถึงการทูต เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา และสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องดำเนินการในทุกมิติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ตราบใดที่ฝ่ายกัมพูชายังมีการยิงเข้ามาในฝั่งไทย โดยเฉพาะเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้ตามความจำเป็นและได้สัดส่วน ส่วนพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ยังคงมีสถานการณ์ค่อนข้างสงบ โดยเฉพาะแนวชายแดนจังหวัดจันทบุรีและตราด
พร้อมกล่าวขอบคุณที่ทำให้การประชุมครั้งนี้สามารถจัดขึ้นที่จังหวัดจันทบุรี เนื่องจากใน 7 จังหวัดชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด พบว่าจังหวัดจันทบุรีเป็นพื้นที่ที่แทบไม่มีการสู้รบ จึงถือเป็นพื้นที่ปลอดภัย เหมาะสมสำหรับการจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC)
การเลือกจัดประชุมที่จังหวัดจันทบุรี เป็นการช่วยคลายความกังวล หลังจากครั้งก่อนมีการประชุมที่เกาะกง ซึ่งสื่อมวลชนและประชาชนแสดงความห่วงใยในด้านความปลอดภัย โดยครั้งนี้เป็นการที่ฝ่ายกัมพูชาเดินทางเข้ามาในพื้นที่ของไทย และฝ่ายไทยได้เตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีมั่นใจว่า ฝ่ายไทยจะดูแลและรับรองความปลอดภัยของคณะเจรจาจากกัมพูชาอย่างเต็มที่ พร้อมขอให้สื่อมวลชนช่วยทำความเข้าใจกับประชาชน เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ปลอดภัย ทั้งในด้านคำพูด ท่าที และการแสดงออก การเจรจาเป็นอีกสนามหนึ่งที่ต้องแยกออกจากสนามการรบชายแดน และสนามสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งแต่ละสนามมีบริบทและวิธีการที่แตกต่างกัน ไม่ควรนำประเด็นการทหารหรืออาวุธไปปะปนกับการเจรจาทางการทูต ซึ่งยังไม่ทราบว่าฝ่ายกัมพูชาจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายหรือไม่ แต่รับรู้ได้ว่ามีความกังวลในด้านความปลอดภัย ซึ่งไม่ต่างจากความกังวลของฝ่ายไทยในครั้งที่ตนเดินทางไปเจรจาที่เกาะกง ทั้งนี้ การเดินทางไปเจรจาในแต่ละครั้งเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินและทดสอบท่าทีของอีกฝ่าย
พร้อมย้ำขอให้ฝ่ายกัมพูชามั่นใจในมาตรการด้านความปลอดภัยของฝ่ายไทย เนื่องจากข้อเท็จจริงคือ คณะเจรจาจะไม่ได้เข้าไปในพื้นที่สู้รบ แต่จะอยู่ในพื้นที่ที่มีการควบคุมและปลอดภัย

















