"นิติวิทย์" เจาะลึกไทม์ไลน์ตรวจพบสาร "ไซยาไนด์" ในร่าง "นัทปง" หลังผลตรวจยืนยันภายใน 3 วัน ชี้ข้อสงสัยแรกหลังการเสียชีวิต ประวัติรับแจ้งเพื่อการกู้ชีพขัดแย้งกับประวัติการตรวจชันสูตรวันที่เกิดเหตุ เนื่องด้วยไม่มีการระบุถึงการใช้สารยาหรือสารพิษ แต่แพทย์ผู้ตรวจกลับได้รับข้อมูลแจ้งจากศูนย์วิทยุ และข้อมูลรับแจ้งเพื่อเรียกทีมกู้ชีพ ว่าผู้ตายอาจเกี่ยวข้องกับ "การใช้สารหรือยาเกินขนาด" แต่อายุยังน้อย แม้มีโรคประจำตัวแต่ไม่ได้มีอาการนำที่เกี่ยวข้องในวันที่เสียชีวิต

จากกรณีสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แจ้งผลตรวจพบสารพิษ “ไซยาไนด์” ในร่างของ นายณัฐวุฒิ ปงลังกา หรือนัทปง อายุ 35 ปี ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องดัง ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.68 โดยเริ่มแรกพบเพียงว่าเป็นการหลับแล้วไม่ตื่น จึงมีการจัดงานฌาปนกิจและสวดอภิธรรมศพ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.-6 ธ.ค.68 กระทั่งผลตรวจพบสารไซยาไนด์ในกระแสเลือดและกระเพาะอาหารของนายณัฐวุฒิ จึงสร้างความสงสัยให้แก่ครอบครัวและเพื่อนฝูง ตลอดจนผู้ที่ทราบข่าวเป็นอย่างยิ่ง ว่าสารไซยาไนด์ดังกล่าวได้เข้าสู่ร่างกายของนายณัฐวุฒิ ได้อย่างไร และใครเป็นผู้จัดหามาให้ ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานสรุปจาก นพ.ศราวุฒิ สุจริตธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนิติเวช และโฆษกสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรี พม. และ รศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชฯ ว่า การเสียชีวิตปริศนาของนายณัฐวุฒิ ปงลังกา กลายเป็นคดีสะเทือนสังคมหลังผลตรวจทางพิษวิทยายืนยันว่า “ไซยาไนด์” คือ สารพิษที่อยู่ในร่างกายผู้ตาย และผลยืนยันออกภายในเวลาเพียง 3 วัน ซึ่งเรามักจะเคยได้ยินว่าผลการตรวจมักใช้เวลา 1-2 เดือน หลังจากการชันสูตร และบทความนี้คือการเจาะลึกลำดับเหตุการณ์ และการประสานงานหลังฉาก ที่ทำให้ผลตรวจออกได้อย่างรวดเร็ว

รายงานระบุว่า จุดเริ่มต้นความสงสัยจากประวัติที่ได้รับแจ้งเพื่อการกู้ชีพ ขัดแย้งกับประวัติจากการตรวจที่เกิดเหตุจากการตรวจชันสูตร ณ วันที่เกิดเหตุ ไม่ได้มีการระบุถึงการใช้สารยาหรือสารพิษ แต่แพทย์ผู้ตรวจกลับได้รับข้อมูลแจ้งจากทางศูนย์วิทยุ รวมถึงข้อมูลรับแจ้งเพื่อเรียกทีมกู้ชีพ ว่าผู้ตายอาจเกี่ยวข้องกับ “การใช้สารหรือยาเกินขนาด” และเมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงว่าผู้ตายอายุยังน้อย มีโรคประจำตัว แต่ไม่ได้มีอาการนำที่เกี่ยวข้องในวันที่เสียชีวิต และการเสียชีวิตเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน จึงทำให้ทีมแพทย์หันไปจับที่สารพิษตั้งแต่ชั่วโมงแรก แต่ในหน้าสื่อ จะชี้สาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้นไปทางใหลตายก็ไม่แปลก เนื่องจากการตรวจสารพิษต้องมีขั้นตอนการตรวจสอบที่รัดกุมและใช้เวลา

รายงานระบุต่อว่า เหตุจากคดี “แอม ไซยาไนด์“ ทำให้ระบบนิติเวชมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด หลังการเสียชีวิตต่อเนื่องจากคดี “แอม ไซยาไนด์” ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างมากในสังคมไทย ทางสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทยและราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์แห่งประเทศไทย ได้เปิดการพูดคุยและหารือหลายครั้ง จัดกระทั่งได้มีการจัดทำแนวทางคัดกรองการตรวจสารพิษรวมถึงสารไซยาไนด์ในผู้เสียชีวิตที่เข้าเกณฑ์ต้องสงสัยอย่างเข้มงวด เป็นเหตุให้เกิดการตรวจพบการใช้สารไซยาไนด์ ในคดี “ตอง ชลดา” และได้สร้าง “ระบบเตือนภัยเงียบ” ว่าถ้าลักษณะการตายที่ไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้แน่ชัด ต้อง “คิดถึงไซยาไนด์เป็นหนึ่งในสาเหตุเสียชีวิตด้วยเสมอ” ดังนั้น เมื่อคดีล่าสุดเกิดขึ้น แพทย์หลายฝ่ายจึงเข้าสู่ “โหมดเฝ้าระวังสูงสุด” ในทันที

รายงานระบุด้วยว่า การประสานงานที่ต้องทำอย่างรวดเร็วที่สุดจากข้อสงสัยหลายประการข้างต้น ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โดย นพ.ศราวุฒิ สุจริตธรรม แพทย์ผู้ตรวจศพ ได้ประสานไปยัง รศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชฯ เพื่อหารือถึง “ข้อสงสัยที่ต้องคลี่คลายโดยด่วน“ และขอความอนุเคราะห์ให้ห้องปฏิบัติการพิษวิทยา ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และของ รพ.รามาธิบดี ช่วยเร่งรัดกระบวนการตรวจ เนื่องจากข้อสงสัยทั้งหมดทั้งมวล เหตุการเสียชีวิตชี้ไปทาง “พิษวิทยา” มากกว่า “โรคธรรมชาติ” นอกจากนี้ ในเวลาใกล้เคียงกันนั้นเอง มีข้อมูล “off the record” ถูกส่งถึง ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ว่า “มีการพบสารต้องสงสัยในพื้นที่เกิดเหตุ” ข้อมูลนี้ไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่กลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ต้องตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เพราะหากสารดังกล่าวเป็นไซยาไนด์จริง จะเชื่อมโยงกับตัวผู้ตายได้ทันที ดร.ธนกฤต จึงมอบหมายให้ รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี (หมอหมู) ทำการวิเคราะห์สารจากที่เกิดเหตุแบบเร่งด่วนในห้องปฏิบัติการ ทั้งสองส่วนต่างเดินหน้าตรวจสอบแบบคู่ขนาน โดยที่ไม่ทราบการดำเนินงานของกันและกันมาก่อน แต่สุดท้ายมาบรรจบตรงกันอย่างแม่นยำ ทั้งจากการตรวจสารจากศพ และการตรวจสารจากที่เกิดเหตุว่าเป็น “ไซยาไนด์” ทีมแพทย์จึงสามารถสรุปได้ทันทีว่า “สารที่ผู้ตายได้รับและเป็นเหตุให้เสียชีวิตคือไซยาไนด์แน่นอน” จึงได้แจ้งข้อมูลไปยังพนักงานสอบสวนและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้เริ่มดำเนินการด้านกฎหมายและการหาพยานหลักฐานต่อทันที โดยไม่ให้เกิดความล่าช้า นี่คือเหตุผลว่าทำไมคดีนี้จึงเดินหน้าอย่างฉับไว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ตายอย่างสูงสุด.