"ธรรมนัส" มั่นใจ สถานการณ์น้ำปีนี้ ไม่เลวร้ายกว่านี้แน่ จะคลี่คลายภายใน ธ.ค.68 สั่งกรมชลฯ เร่งระบายน้ำเจ้าพระยาเต็มกำลัง ควบคุมเข้มปริมาณน้ำเหนือ ไม่ให้กระทบประชาชนมาก พร้อมเตรียมรับมือฝนใต้ระลอกใหม่

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.30 น. ที่กรมชลประทาน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำทั่วประเทศ โดยมีนายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรฯ พร้อมผู้บริหารกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวภายหลังการประชุมว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำในลุ่มเจ้าพระยายังอยู่ภายใต้การควบคุม แต่จำเป็นต้องเร่งระบายน้ำออกจากเขื่อนหลัก เพื่อป้องกันผลกระทบต่อพื้นที่ตอนล่าง โดยระบุว่า เขื่อนภูมิพลได้ระบายน้ำลงมาแล้วประมาณ 48 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และเขื่อนกิ่วลมระบายเพิ่มอีก 6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน รวมแล้วมีปริมาณน้ำไหลเข้าสู่ลำน้ำเจ้าพระยาราว 54 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยมีอัตราไหลที่หน้าเขื่อนเจ้าพระยา 3,537 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

“ปริมาณน้ำในลุ่มเจ้าพระยาตอนนี้ถือว่าสูง เราจึงจำเป็นต้องระบายน้ำออกทั้งฝั่งซ้ายและขวา เพื่อไม่ให้เกิดการล้นตลิ่ง โดยกรมชลประทานระบายน้ำทั้ง 2 ด้านรวมกัน 637 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อให้สมดุลกับน้ำที่ไหลลงมา และควบคุมระดับน้ำในเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่า แม้จะต้องระบายน้ำต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ในจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ “จะไม่เลวร้ายไปกว่าปีที่ผ่านมา พร้อมชี้ว่า จากการพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ขณะนี้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้เริ่มอ่อนกำลังลง ปริมาณฝนทางภาคเหนือและภาคกลางลดลง แต่จะเคลื่อนตัวไปเพิ่มในพื้นที่ 14 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้สั่งการให้ทุกสำนักชลประทานในพื้นที่เตรียมแผนรับมือสถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันไว้แล้ว

“เมื่อสามวันที่ผ่านมา ผมเพิ่งลงพื้นที่นราธิวาส ยะลา ปัตตานี พัทลุง สตูล และตรัง พบว่าฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเฉพาะนราธิวาส ปริมาณฝนเกินค่ามาตรฐานเฉลี่ย จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยในภาคใต้เตรียมแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันที โดยต้องพร้อมเคลื่อนเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำออกสู่อ่าวไทยให้มากที่สุด เพื่อบรรเทาผลกระทบของพี่น้องประชาชน”

ในส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากการคาดการณ์ของกรมชลประทาน ประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนธันวาคม 2568 ที่สถานี C2 ค่ายจิรประวัติ จ.นครสวรรค์ ปริมาณน้ำจะเหลือ 1,000 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งในจังหวัดตอนล่าง

ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส ยังเปิดเผยว่า ช่วงเช้าวันนี้จะมีการประชุมร่วมกับผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร เพื่อประสานการระบายน้ำบางส่วนเข้าสู่ระบบคลองของกรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้มีระดับน้ำต่ำกว่าปกติ เพื่อให้สามารถผลักดันน้ำเสียออกจากคลองและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำโดยรวม โดยยืนยันว่า จะไม่กระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ แน่นอน

“เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมลงพื้นที่คูคต จังหวัดปทุมธานี พบว่าระดับน้ำในคลองอยู่ที่ประมาณ 1.5 เมตร ส่วนฝั่งคลองในพื้นที่ กทม. อยู่ที่เพียง 0.22 เมตร เราจึงสามารถระบายน้ำเข้าพื้นที่บางส่วนได้โดยไม่กระทบประชาชน และยังช่วยให้การระบายน้ำเสียของกรุงเทพฯ มีประสิทธิภาพขึ้น” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความแปรปรวนในระบบน้ำปีนี้ มาจากสภาพภูมิอากาศที่ไม่ปกติทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ต่างเผชิญฝนหนักและน้ำท่วมขัง บ้านเราก็ได้รับอิทธิพลบางส่วน แต่ถือว่าเรายังสามารถบริหารจัดการได้ในเกณฑ์ดี เพราะมีแผนรองรับและระบบแจ้งเตือนล่วงหน้า

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวทิ้งท้ายว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ เร่งเตรียมความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ พร้อมบูรณาการกับกรมอุตุนิยมวิทยา และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อป้องกันความเสียหายจากภัยธรรมชาติให้ได้มากที่สุด

“เราต้องทำงานเชิงรุก ไม่รอให้เกิดเหตุแล้วค่อยแก้ เพราะสภาพอากาศปีนี้ไม่แน่นอน แต่ผมมั่นใจว่า ด้วยการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงาน เราจะสามารถควบคุมสถานการณ์น้ำได้ และไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงกับพี่น้องประชาชนทั้งภาคกลางและภาคใต้” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว