"เครือข่ายประชาชนเจ้าของแร่" กว่า 27 องค์กร รวมตัวหน้าสถานทูตสหรัฐฯ ประกาศกร้าวยกเลิกดีลลับแร่แรร์เอิร์ธ จวก "อนุทิน" ทำไมไม่ศึกษาก่อนเซ็น MOU ลั่นอย่าให้ซ้ำรอยรัฐบาลในอดีต
วันนี้ 30 ต.ค. 68 เวลา 10.00 น. บริเวณหน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน พร้อมด้วย เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ รวม 27 องค์กร เดินทางมาเพื่อคัดค้านดีลลับแร่แรร์เอิร์ธ ที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน หรือ MOU ไทย-สหรัฐฯ แร่ธาตุสำคัญ
โดยแถลงการณ์ระบุว่า การลงนามในบันทึกตกลงดังกล่าวจะส่งผลประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบจากสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พร้อมบอกว่าดีลนี้ “เหนือกฎหมายแร่” เปิดช่องต่างชาติครอบกระบวนการอนุญาตทำเหมือง ซึ่ง MOU ฉบับนี้ มีเนื้อหาเกินกรอบของกฎหมายแร่ของประเทศไทย เพราะให้สิทธิ์แก่บริษัทต่างชาติในการ “สำรวจและผลิตแร่” โดยข้ามขั้นตอนการขออาชญาบัตรและประทานบัตรตามกฎหมายปกติ ซึ่งเป็นการทำครอบกระบวนการอนุญาตของรัฐไทยทั้งหมด
ซึ่งทางกลุ่มผู้คัดค้าน ยังเปิดเผยอีกว่าหากเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือชุมชน แม้จะมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายได้ แต่สัญญา MOU กลับไม่ถูกยกเลิกตามไปด้วย และอาจจะส่งให้เกิดการทำเหมืองมากขึ้นในประเทศไทย และจะทำให้หน่วยงานราชการต้องดำเนินการต่อเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้เอกชนต่างชาติอย่างถึงที่สุด โดยไม่สนประโยชน์หรือผลกระทบกับประชาชนนี่คือกลไกที่ผูกพันประเทศไทยเข้ากับข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมทางกฎหมาย พร้อมทั้งยังบอกอีกว่า MOU ฉบับนี้ยังจะเป็นการ ขยายการนำเข้าและผลิตแร่หายากในประเทศไทย ทั้งที่ผลกระทบจากแร่หายากเดิม เช่น ในกรณีแม่น้ำกก ยังไม่ถูกแก้ไขหรือเยียวยา รัฐบาลกลับเร่งเปิดดีลใหม่โดยไม่ฟังเสียงประชาชน

ด้านนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน บอกว่า ประเทศไทยมีปัญหา จากการทำเหมืองที่เมียนมาส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมายังแม่น้ำกกฝั่งไทย ซึ่งถือเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมาก จึงมองว่าสิ่งที่สหรัฐกับไทยต้องทำคือ MOU แก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน จากการดำเนินการทำเหมืองแร่สำคัญ แร่หายาก และแร่อื่น ๆ มากกว่า
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้รัฐบาลออกมาบอกว่า MOU ฉบับนี้ภายหลังหากพบว่าไม่ได้เป็นประโยชน์ หรือมีผลกระทบสามารถยกเลิกได้ทันทีไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายกฎหมายนั้น นายเลิศศักดิ์ บอกว่า ถ้าบอกว่าจะไม่มีประโยชน์สามารถยกเลิกได้แล้วเซ็นตั้งแต่แรกทำไม เนื้อหาใน MOU ขัดแย้งกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดว่า ไม่มีมีความสำคัญไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย บอกว่านี่คือเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของสหรัฐสหรัฐอเมริกาที่ ต้องการช่วงชิงแร่หายาก จากประเทศจีนโดยใช้ไทย เป็นช่องทางนำเข้าแร่เหล่านั้น พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการทำเหมืองแร่ในประเทศไทยมากขึ้น
ขณะที่ น.ส.สุภาภรณ์ มาลัยลอย ตัวแทนเครือข่ายประชาชน ผู้เป็นเจ้าของแร่ ตั้งคำถามกลับไปยังรัฐบาลว่าทำไมก่อนจะเซ็น MOU ถึงไม่ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมก่อน ไม่ใช่มาบอกว่า ถ้ามีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมก็สามารถยกเลิก MOUได้ อย่างประเทศไทยที่ผ่านมามีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่มาอย่างยาวนาน แต่ก็ยังไปเซ็น MOU ร่วมกับสหรัฐฯ โดยที่ไม่ผ่านกระบวนการรับรู้ของคนในประเทศเลย
ด้านนายสุทธิเกียรติ คชโส ตัวแทนเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่บอกว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลไทยเคยทำผิดพลาด จากการลงนามในสัญญาแร่โปแตช จ. อุดรธานี และ แร่ทองคำ ที่ จ. เลย ซึ่งเป็นการให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองเกินขอบเขตของกฎหมายแร่ของไทย ทำให้เกิดสัญญาผูกขาดและเป็นสัญญานิรันดร ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายคลึง และอาจขัดต่อกฎหมายแร่ของไทยไม่ต่างจาก MOU ฉบับนี้





















