"ทูตไทย" สวนเขมร กล่าวหาไทย รุกราน ชายแดนสระแก้ว ในเวที UNHCR ชี้ไทยไม่ควรถูกตอบแทนแบบนี้ เคยช่วยเขมรให้ที่พักพิงหนีภัยสงคราม
ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ น.ส.ปรารถนา ดิษยทัต อัครราชทูต รองผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ชี้แจงต่อถ้อยแถลง ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ในเวทีการประชุมคณะกรรมการบริหารของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR ExCom) สมัยที่ 76 ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
หลังฝ่ายกัมพูชา กล่าวหาไทยละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติและอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งห้ามการย้ายถิ่นของพลเรือนโดยใช้กำลัง การทำลายทรัพย์สิน และการลงโทษหมู่ รวมทั้งกล่าวหาว่าไทยรุกล้ำทำให้ประชาชนต้องพลัดถิ่น ทำลายบ้านเรือน ในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว ทั้งที่อาศัยมาหลายชั่วอายุคน
ทั้งนี้ น.ส.ปรารถนา ได้ กล่าวชี้แจง พร้อมความเสียใจอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องใช้สิทธิ์ในการพูดเพื่อตอบต่อถ้อยแถลงของกัมพูชา ทั้งที่เวทีพหุภาคีเช่นนี้ ไม่ควรถูกใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อกล่าวหาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
น.ส.ปรารถนา กล่าว่า ประเทศไทยขอยืนยันว่า หมู่บ้านที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างถึงนั้นตั้งอยู่ในดินแดนของไทย จากการที่ไทยตัดสินใจเปิดพรมแดนเพื่อให้ชาวกัมพูชาหลายแสนคนที่หลบหนีสงครามกลางเมืองในประเทศตัวเองเข้ามาพักพิงในไทย อันเป็นการตัดสินใจที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจและหลักมนุษยธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของธรรมเนียมปฏิบัติด้านมนุษยธรรมอันยาวนานของไทย
หมู่บ้านเหล่านี้เริ่มแรกเป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราวในช่วงปี 1980 (พ.ศ.2523) สำหรับชาวกัมพูชาที่หลบหนีการสู้รบผ่านการคัดกรองโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อรอการตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่3
แต่หลังจากความขัดแย้งในกัมพูชาสิ้นสุดลงที่พักพิงชั่วคราวก็ปิดตัวลงแล้ว แต่กลับมีชาวกัมพูชาบางส่วนเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว และขยายการตั้งถิ่นฐานออกไปอีก แม้ประเทศไทยจะได้ประท้วงหลายครั้งต่อการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย แต่รัฐบาลกัมพูชาไม่เคยตอบสนองหรือดำเนินการรับผิดชอบใด ๆ ในทางกลับกัน ไม่นานมานี้ กองทัพกัมพูชาได้ระดมชาวกัมพูชา ทั้งเด็ก สตรี และพระภิกษุ เดินทางเข้ามาในพื้นที่ เพื่อยั่วยุประเทศไทย ซึ่งมีเจตนาเพื่อเพิ่มความตึงเครียด
จึงเป็นการละเมิดอธิปไตยและกฎหมายภายในของประเทศไทยอย่างร้ายแรง และเป็นการละเมิดพันธกรณีภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของกัมพูชาในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและอนุสัญญาเจนีวา
การกระทำของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของมนุษยธรรมและความเป็นมิตรที่ดีต่อเพื่อนบ้าน ไม่ควรถูกตอบแทนจากกัมพูชาในลักษณะเช่นนี้
ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับเชลยศึก ประเทศไทยขอย้ำว่า เชลยศึกจำนวน 18 คนถูกจับกุมได้ระหว่างการสู้รบที่กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ยืนยันว่สบุคคลเหล่านี้ได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยและมนุษยธรรมอย่างครบถ้วนตามกฎหมาย
ทั้งนี้คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ได้เข้าเยี่ยมเชลยศึกเหล่านี้เป็นประจำ และอำนวยความสะดวกในการติดต่อกับครอบครัวของพวกเขา การคุมขังของพวกเขาไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกนำกลับไปเข้าร่วมการสู้รบอีก พวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศเมื่อการสู้รบสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบัน กัมพูชายังคงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และพยายามทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องระหว่างประเทศ แทนที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่ได้ตกลงไว้