เกิดเหตุแก๊สหุงต้มระเบิดในบ้านทาวน์เฮ้าส์ ย่านปทุมธานี เสียหาย 6 หลัง พบป้า 63 เจ้าของบ้านต้นเพลิงเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีก 7 ราย
วันที่ 11 ตุลาคม 2568 มีรายงานว่า พ.ต.ต.ชัยพร อารีย์วงษ์ สว.สอบสวน สภ.เมืองปทุมธานี รับแจ้งมีแก๊สระเบิดส่งผลให้มีเพลิงลุกไหม้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนหลายราย ที่เกิดเหตุบ้านหลังหนึ่ง หมู่บ้านพนาสนธิ์ซอย 2 ต.บ้านฉาง อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี หลังรับแจ้งจึงรุดไปที่เกิดเหตุพร้อมด้วยดับเพลิงเทศบาลตำบลบ้านฉาง ดับเพลิงเทศบาลเมืองปทุมธานีและพื้นที่ข้างเคียง 7 คัน พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.เมืองปทุมธานี อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ปลูกติดกันจำนวนหลายหลัง พบแสงเพลิงเกิดขึ้นอย่างรุนแรงภายในบ้านที่ประกอบกิจการร้านเสริมสวย (ป้าวรรณณา) ซึ่งเป็นบ้านต้นเพลิง แรงระเบิดส่งผลให้เกิดเพลิงลุกไหม้เศษซากคอนกรีต กระจกหน้าต่าง เหล็กต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียงกระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณกว่า 50 เมตร ในตัวบ้านพบเพลิงระหว่างลุกไหม้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องเร่งฉีดน้ำเพื่อสกัดเพลิงไม่ให้ลุกลามไปยังบ้านข้างเคียง โดยใช้เวลาประมาณ30 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงได้
เบื้องต้นพบมีผู้เสียชีวิตจำนวน 1 ราย อยู่บริเวณหลังบ้านต้นเพลิงซึ่งเป็นห้องครัวทราบชื่อ น.ส.เพชรกมล (ป้าวรรณา) อายุ 63 ปี และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 7 รายอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูให้ความช่วยเหลือนำส่ง รพ.ใกล้เคียง อย่างเร่งด่วนเพราะมีอาการเจ็บหน้าอก โดยเบื้องต้นสันนิษฐานว่าเกิดจากแก๊สหุงต้มภายในห้องครัวเกิดการระเบิด
เบื้องต้นจากการสอบสวนนายสมควร อายุ 52 ปี เจ้าของบ้านติดกับบ้านหลังเกิดเหตุ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุตนเองอยู่ภายในบ้านได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างแรง 1 ครั้ง จนทำให้ฝ้าเพดานบ้านตนเองได้รับความเสียหายร่วงลงมาด้านล่าง สำหรับบ้านต้นเพลิงประกอบกิจการร้านเสริมสวย โดยพักอาศัยอยู่ 3 คนในบ้าน ซึ่งได้รับบาดเจ็บ และบ้านตนเองก็ได้รับบาดเจ็บเป็นลูกชายกับลูกสะใภ้ที่อยู่ภายในบ้านตอนเกิดเหตุ รวมทั้งมีรถยนต์และตัวบ้านได้รับความเสียหาย
ทางด้าน พ.ต.ต.ชัยพร อารีวงษ์ สว.สอบสวน สภ.เมืองปทุมธานี ได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานสอบปากคำพยานบุคคลในที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเพื่อตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุการเกิดเหตุที่แท้จริง พร้อมทั้งให้อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูนำร่างผู้เสียชีวิตส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป