"ธนกฤต" นำทีมสาธารณสุข บุกตรวจวัดพระบาทน้ำพุเยี่ยมผู้ป่วย พบ 20 ศพเก็บไว้ปลงสังขาร สั่งท้องถิ่นนำไปฌาปนกิจ จ่อดำเนินคดีวัดสร้างสถานพยาบาลไม่ได้รับอนุญาต
วันที่ 20 สิงหาคม 2568 นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสถานที่ดูแลผู้ป่วยของวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี โดยนายกองตรี ดร.ธนกฤต ได้นำคณะเข้าตรวจสอบในจุดแรกคือ สถานชีวาภิบาล และได้พูดคุยกับคณะผู้ดูแลและผู้ป่วยที่ไม่ใช่กลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อ ก่อนจะพาคณะเดินทางออกมาอีกหนึ่งอาคาร คือ อาคารเมตตาธรรม ซึ่งเป็นจุดที่ผู้สื่อข่าวเคยเข้าไปสำรวจและพบว่ามีถังออกซิเจน และอุปกรณ์ทางการแพทย์วางเกลื่อนไว้เต็มพื้นที่
ขณะที่ นายกองตรี ดร.ธนกฤต ได้เจรจาเพื่อเปิดทางให้สื่อมวลชนขึ้นไปยังอาคารดังกล่าว ที่ก่อนหน้านี้ถูกสั่งห้ามไม่ให้ขึ้น เมื่อขึ้นไปบริเวณด้านบนคณะได้เดินสำรวจห้องต่างๆ พบว่าแต่ละห้องอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมใช้งาน และถูกทิ้งร้างตามที่ปรากฏในข่าวจริง ก่อนจะมีการพูดคุยกันบอกว่า อาคารดังกล่าวออกแบบลักษณะคล้ายกับสถานพยาบาล จากนั้นได้ขึ้นไปแต่ละชั้นและพบว่าบริเวณชั้นสามที่ไปพบถังออกซิเจน ก็พบป้ายประกาศที่ติดเอาไว้ ระบุว่า สิทธิ์ของผู้ป่วย ทำให้นายกองตรี ดร.ธนกฤต แจ้งให้คณะผู้ติดตามเก็บประกาศดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน เพราะเชื่อว่าอาคารดังกล่าวมีการสร้างขึ้นมาเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยจริง ซึ่งตลอดทางที่มีการเดินสำรวจก็ได้ดูในเรื่องของความสะอาดที่มีฝุ่นเขรอะเต็มทุกพื้นที่
หลังจากนั้น ได้พาข่าวและคณะเดินต่อไปไปยังอาคารคนทำดีอวดผี เพื่อไปดูจุดเก็บรักษายาของผู้ป่วย ซึ่งได้เดินเข้าสำรวจและพบว่ามีการเก็บรักษายาไว้อย่างดีโดยมี อย. เข้าร่วมสำรวจด้วย ก่อนจะเดินไปยังห้องด้านข้างที่มีผู้ป่วยติดเตียงรักษาตัวอยู่
ภายหลังการตรวจพื้นที่ นายกองตรี ดร.ธนกฤต เปิดเผยว่า ในการตรวจสอบครั้งนี้มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แบ่งทีมดูแลกันดังนี้ สปสช. ดูแลเรื่องสถานที่ ว่าเข้าข่ายสถานพยาบาลหรือไม่ รวมถึงการเบิกจ่ายของผู้ป่วยชีวาภิบาลที่เสียชีวิต ที่ทางวัดขอรับเงินจากทาง สปสช. ส่วน อย.ดูเรื่องของยาและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ว่าได้รับอนุญาตถูกต้องหรือไม่
ด้านกรมการแพทย์แผนไทยลงพื้นที่บริเวณใกล้วัด ที่ทราบว่ามีการปลูกและผลิตกัญชาก่อนส่งออก ต้องตรวจสอบว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความดูแลของวัดหรือไม่ และดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
กรมอนามัย ดูเรื่องของการได้รับโล่รางวัลที่มีการประกวดว่าได้มาตรฐาน และยังคงมาตรฐานเดิมหรือไม่
เบื้องต้น สถานชีวาภิบาลยังไม่มีอะไรที่ผิดปกติ เว้นแต่มีข้อแนะนำบางส่วนว่า ให้ทางวัดจัดหาพื้นที่หรือทำเป็นมูลนิธิหรือหาอาคารสักหนึ่งหลัง จดทะเบียนเป็นสถานพยาบาล หรือคลินิกแยกส่วนออกมา ส่วนอาคารคนอวดผี ที่เป็นอาคารรักษาผู้ป่วย HIV ไม่พบความผิดปกติ เรื่องยาก็ให้ทาง อย.ตรวจแล้ว ทราบว่าเป็นยาที่รับมาจากโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราชจริง และมีรายชื่อของผู้ป่วยตรงนั้นจริง ส่วนเรื่องอาคารเมตตาธรรม จากข้อสังเกตมีลักษณะคล้ายกับสถานพยาบาล จึงจะต้องตรวจสอบ ว่าจะเข้าข่ายความผิดหรือไม่อย่างไร
ด้าน นายแพทย์อุดม อัศวุฒมางกุร สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 4 เปิดเผยว่า เรื่องแรกที่มาดูคือจุดสถานชีวาภิบาล ซึ่งเป็นจุดพักพิงผู้ป่วยติดเชื้อระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นการดูแลไม่ใช่การรักษา และทางกรมอนามัยจะดูเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดตามสุขลักษณะ มีการกำจัดขยะติดเชื้ออย่างไร กำจัดของเสียอย่างไร ซึ่งถือว่าสามารถจัดการได้ดี ประเด็นที่สอง คือ เรื่องการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ระยะสุดท้าย ซึ่งที่วัดมีผู้ป่วย 60 คน พักรักษาตัวนอนรวมกันอยู่ ส่วนผู้ป่วยติดเชื้ออีก 60 ราย ที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จะพักรักษาอยู่ตามบ้านพัก พบว่าเป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เพราะมีการไปเบิกยาจากโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช แล้วนำมาให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ขณะที่ ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ในส่วนของอาคารก็มีทั้งหมด 3 ส่วน อาคารที่เป็นชีวาภิบาล ก็เป็นไปตามที่กรมอนามัย ได้พิจารณาอนุญาตไปแล้ว แต่ในส่วนของอาคารที่ใช้สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีเข้าใจว่า ไปรับยาจากโรงพยาบาล และนำยาตรงนี้มาจ่ายยาตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งกลไกส่วนนี้ก็ถือว่าถูกต้องตามมาตรฐาน แต่ว่าในอนาคตจะต้องมาขอขึ้นทะเบียนเป็นเนอสซิ่งโฮมจะดีที่สุด เพราะการให้บริการโดยแคร์กิฟเวอร์ จะต้องมีการอบรมขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการและในส่วนอาคารเมตตาธรรมซึ่งเป็นอาคารร้าง อาคารนี้พบข้อพิรุธหลายส่วนด้วยกัน เช่น ถังออกซิเจน รถฉุกเฉินในการเคลื่อนย้าย ยาสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินในห้องตรวจแพทย์ และพบคำประกาศสิทธิ์ผู้ป่วย นอกจากนี้ยังพบห้องกดจุดผู้ป่วยด้วย ซึ่งในส่วนนี้จะต้องมีการสืบสวนอีกรอบ ซึ่งทาง สปส. จังหวัดจะร่วมมือกันสืบสวนหาดูว่า พยานหลักฐานเป็นอย่างไรบ้าง เราจะมีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายต่อไป
นายแพทย์ประสาน ชัยวิรัตนะผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 4 กล่าวว่า ในส่วนของกรมอนามัย เป็นเรื่องของการเก็บศพที่เป็นธรรมสังเวช เก็บไว้ให้ดูเพื่อปลงอาบัติ แต่ว่าจำนวนศพที่พบตอนนี้มี 20 ศพ และมีการฉีดฟอร์มาลีน ซึ่งสภาพศพเก็บมาหลายสิบปีแล้ว แห้งเป็นปกติ แต่ พ.ร.บ.ที่ดูแลเรียกว่า พ.ร.บ.ฌาปนสถานและสุสาน ซึ่ง พ.ร.บ.นี้ ควบคุมโดยท้องถิ่น จากการสอบถามเทศบาลเขาสามยอดที่เข้าร่วมตรวจสอบด้วย ท่านก็เรียนบอกว่ายังไม่มีการร้องเรียน ซึ่งถ้าหากว่ามีการร้องเรียนหรือแจ้งกล่าวโทษ จึงจะดำเนินการต่อได้ ทั้งนี้ ศพทั้งหมดจะต้องนำไปฌาปนกิจ
นายกองตรี ดร.ธนกฤต ย้ำว่า ศพต้องไปฌาปนกิจ หน้าที่ของการดูแลศพเป็นท้องถิ่น เอาไว้อย่างนี้ไม่ได้ ส่วนเรื่องตึกร้างก็เข้าข่ายเป็นสถานพยาบาล เดี๋ยวจะต้องดูและรวบรวมพยานหลักฐานก่อน หากพบความผิดก็จะดำเนินคดี ใครที่เป็นผู้บริหารในนี้ก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
ส่วนเรื่องตึกร้างมีการปิดทำการไปนานแล้วก็จะต้องไปดูเรื่องของอายุความ หากพบว่ามีองค์ประกอบอื่นสัมพันธ์กับเรื่องของตำรวจกองปราบที่ดำเนินคดีจะเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ หรือสารตั้งต้น ที่เกี่ยวพันกับการทำมูลนิธิและการเรียกรับ ก็จะต้องมีข้อมูลว่าเมื่อไม่ได้เปิดเป็นสถานพยาบาล แต่มีการเรี่ยไรในเรื่องของการรักษาพยาบาล ที่ผ่านมาทำกันอย่างไรก็จะดูว่าเข้าข้อกฎหมายอะไรบ้าง
สำหรับการเบิกเงินของผู้เสียชีวิต ทางวัดเป็นคนเบิกจาก สปสช. แต่ก็ต้องไปตรวจสอบ เบื้องต้นทราบว่าเมื่อปี 67 วัดเบิกไปประมาณ 160,000 บาท ส่วนก่อนที่จะเปิดเป็นสถานชีวาภิบาล ได้เบิกไปประมาณ 130,000 บาท แต่อย่างไรก็ตาม จะไปตรวจสอบว่าการเบิกถูกต้องหรือไม่ แต่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดสังเกต หากเทียบกับที่วัดต้องดูแลคนน่าจะมากกว่าและเงินที่ไปเบิก
ส่วนที่มีคุณหมอมาร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องยาต้านไวรัส HIV ก็ให้คุณหมอคนดังกล่าวเข้าให้ข้อมูลกับข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตามให้ทุกคนที่มีข้อมูลมาพบหรือให้ข้อมูลดีกว่า