"แม่ทัพภาคที่ 2" เผย "ในหลวง" ทรงห่วงใยทหารแนวหน้า พร้อมเผยสาเหตุการปะทะ

วันที่ 14 ส.ค. 2568 ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดกิจกรรม “สาธิตเกษตรรวมใจสู่แนวหน้าปลูกต้นกล้าแทนคุณแผ่นดิน” โดยมีพล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และพล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เรื่องเล่าจากแนวหน้าและการรักษาอธิปไตยของชาติ”

โดย พล.ท.บุญสิน กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนในปัจจุบัน ว่า วันนี้ดีใจที่ได้มาเห็นน้อง ๆ ทำกิจกรรมในวันนี้ ได้ร้องเพลงชาติร่วมกัน ธงชาติอยู่ข้างหลัง 16 ผืน 5 แถบ 3 สี กว่าจะได้แผ่นดินมาบรรพบุรุษเสียชีวิตเลือดเนื้อมากี่คนแล้ว แผ่นดินนี้ที่น้อง ๆ ได้นั่งอยู่ตรงนี้ เหลือเท่านี้บรรพบุรุษเราทำอะไรไว้บ้างรู้หรือไม่ แต่ก็ภูมิใจ ลุงแม่ทัพได้คุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนฯ ได้ถามว่ามีวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย มีวิชาศีลธรรมหรือไม่ ซึ่งตนจะถามเสมอเมื่อไปพบปะที่โรงเรียนว่าได้สอน 2 วิชานี้หรือไม่ ทั้งนี้มนุษย์ถ้าไม่มีศิลธรรมในจิตใจก็ไม่ค่อยมีค่าสักเท่าไหร่ ไม่มีจิตสำนึกของความรักชาติรักแผ่นดิน ความเสียสละ ประเทศชาติก็วุ่นวายล่มสลาย มีแต่กอบโกยผลประโยชน์เห็นแก่ตัวเห็นแก่พวกพ้อง เห็นเงินเป็นใหญ่ สิ่งเหล่านี้คือลูกหลานทุกคนของโรงเรียนแม่ทัพมั่นใจว่าทุกคนเป็นคนดี เราเป็นคนดีอยู่ที่ไหนไม่ต้องกลัว เพราะเราคิดดี ไม่ต้องกลัวว่าจะขึ้นศาล ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเขาด่า แม่ทัพไม่เคยกลัวใครในโลกนี้ เพราะเราคิดดีต่อประเทศชาติและต่อแผ่นดิน และพี่น้องประชาชน จะดังจะเด่นขนาดไหนไม่เคยคิดเอาเรื่องนั้นมาหาผลประโยชน์ นี่คือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเป็นคน แม่ทัพมั่นใจว่าครูและอาจารย์สั่งสอนเด็ก ๆ มาดี

พล.ท.บุญสิน กล่าวต่อว่า วันแรกที่เกิดเหตุการณ์ในพื้นที่ชายแดน มีพี่น้องเยาวชนคนไทยและเขมรนัดเจอกันที่ปราสาทตาเมือนธม มีเหตุการณ์หลายอย่างทั้งโพนต์เฟสบุ๊ก ด่ากัน นัดไปแสดงออกที่ปราสาทตาเมือนธมทั้งคนเขมรและพี่น้องคนไทย มีการปลุกระดมกันทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งนี้ปราสาทตาเมือนธมเปิดให้กัมพูชาได้ขึ้นมาชื่นชมได้ตั้งแต่ 09:00-15:00 น. ทุกวัน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่มามานานแล้วของรัฐบาลในอดีต แม่ทัพไม่มีอำนาจในการปิดถ้าไม่ไม่มีเหตุถือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และประเทศกัมพูชาไม่ยอมรับว่าปราสาทตาเมือนธมนี้เป็นของประเทศไทย เขามองว่าเป็นของประเทศกัมพูชาเช่นเดียวกัน จึงทำให้มีปัญหาเช่นนี้ แต่เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 68 ที่เกิดปัญหา พี่น้องคนไทยกับคนเขมรนัดเจอกัน โดยมี “กัน จอมพลัง” เป็นแกนนำไปเจอกันที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเขมรวัยรุ่นที่ทรงผมหล่อ ๆ จะไปเจอกันที่ปราสาท

โดยได้ถามเด็กๆ ว่า หาก 2 กลุ่มไปเจอกันจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้เด็กๆ ตอบว่าจะตีกัน แม่ทัพภาคที่ 2 จึงกล่าวส่า ขนาดเด็กๆ ยังคิดได้ แล้วลุงแม่ทัพจะไม่รู้ได้อย่างไร จึงเสนอไปทางกัมพูชาว่าให้ปิดปราสาทก่อน แต่ทางกัมพูชาบอกไม่ให้ปิดแต่หากไทยจะปิดก็ปิด แต่กัมพูชาจะให้ประชาชนขึ้นมาเหมือนเดิม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นไม่ได้เพราะจะทำให้เราเสียเปรียบ ในคืนนั้นแม่ทัพจึงขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชา ในการปิดประสาทตาเมือนธม ก่อนที่ประชาชนกัมพูชาจะขึ้นมา และอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แม่ทัพรับผิดชอบเอง ซึ่งได้ทำการปิดในช่วง 02.00 น. ของวันดังกล่าว และเช้ามาทหารกัมพูชาใช้ปืนอัตโนมัติยิงทหารไทยตลอดแนว จากอุบลราชธานี-บุรีรัมย์

ทั้งนี้ เมื่อปะทะกันแล้ว ลุงแม่ทัพจึงขอแผ่นดินผมคืน มีการยึดคืนเกือบทั้งหมด โดยใช้เวลา 5 วัน 4 คืน ได้มาเท่านั้นถือว่าถือว่าเต็มที่แล้วสำหรับทหารในการทวงพื้นแผ่นดินคืน เช่น ภูมะเขือ ได้ที่ดินคืนประมาณเกือบ 1 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นที่สูง มีทัศนียภาพที่ดี และยังมีหลายพื้นที่ที่เรายืนหยัดในเส้นเขตแดนของเรา ซึ่งการประทะกันเป็นธรรมดาที่ต้องมีการบาดเจ็บ ล้มตายทั้งสองฝ่าย ซึ่ง 15 วีรชนที่ได้มีการสดุดี ถือว่ามีความเหมาะสม เพราะเขามีความกล้าหาญ เป็นตัวแทนของคนไทยทุกคน ถือเป็นคนเสียสละที่หายากในยุคนี้ และเมื่อวานนี้ (13 ส.ค. 68) ตนเองได้ไปเยี่ยมทหารที่ประสบเหตุจากการเหยียบทุ่นระเบิด ทหารเราเสียสละ เขายิ้มไม่เสียใจ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และจะมีการจัดหาขาเทียมที่ดีที่สุดให้ โดยตนเองได้บอกว่าไม่ต้องห่วง หากอยากเป็นทหารต่อก็ได้หรือจะพักผ่อนแล้วให้ญาติมาเป็นทหารต่อก็ได้ กองทัพจะดูแลอย่างดีที่สุด เพราะเขาได้ทำดีที่สุดแล้ว

ส่วนขณะนี้ทหารชายแดนเป็นอย่างไรบ้าง พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า พี่ ๆ ทหารฝากถามพี่น้องคนไทยว่าสู้หรือไม่ ถ้าพี่น้องคนไทยและลูกหลานเราสู้ ทหารก็สู้เช่นเดียวกัน ซึ่งทหารบอกไม่ต้องห่วง แม้กระทั่งวันแม่แห่งชาติ (12 ส.ค. 68) “ก็ฝากความคิดถึงมาหาคุณแม่ที่อยู่ด้านหลัง บอกแม่ไม่ต้องห่วง ผมทำหน้าที่อย่างเต็มที่” ขอแค่กำลังใจจากพี่น้องคนไทยทุกคน ซึ่งมีทหารบางคนบาดเจ็บยังไม่หายไข้ แต่ขอลงไปสู่แนวรบใหม่ เนื่องจากเป็นห่วงเพื่อนห้วงพี่ เมื่อถึงเวลาจิตวิญญาณของพระนเรศวรต้องมาอยู่กับเรา ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าทหารไทยจะสู้หรือไม่ เพราะมีความชัดเจนอยู่แล้ว เพื่อแผ่นดินนี้ที่บรรพบุรุษเรารักษาไว้ เราจะต้องปกป้องใครที่เข้ามาในเขตแดนจะต้องผลักดันออกไป เราไม่ได้ไปรุกรานประเทศอื่น ยืนยันว่าสิ่งที่เราทำคือรบในประเทศเท่านั้น

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยอยู่ตลอดเวลา ท่านได้สอบถามสถานการณ์ไปที่แม่ทัพทุกวัน โดยกองงานฯ ได้สอบถามสถานการณ์จากแม่ทัพ และได้รายงานทุกวัน สิ่งเหล่านี้คือกองทัพไทย และตั้งแต่ประวัติศาสตร์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพ และปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นเดิม ดังนั้นทหารทุกคนพร้อมสละชีพเพื่อชาติทุกคน และปัจจุบันเรายังอยู่หน้าที่หน้าแนว แม้สถานการณ์จะเป็นอย่างไรเราก็พร้อม ไม่ว่าจะยุตติก็ได้หรือจะรบต่อก็พร้อม “ พล.ท.บุญสิน กล่าว

พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “ขวัญกำลังใจหารทุกคนยังดี ขอให้ลูกหลาน และน้อง ๆ บอกคุณพ่อคุณแม่ เมื่อกลับไปบ้านว่าลุงแม่ทัพกุ้งและทหาร จิตใจกำลังใจดี และขอให้คุณพ่อคุณแม่เชียร์ด้วยนะครับ“

นอกจากนี้มีตัวแทนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ได้ถามว่า “ท่านแม่ทัพเหนื่อยมากหรือไม่ และหากเหนื่อยจะเหนื่อยกับเรื่องอะไรมากที่สุด” พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ไม่เหนื่อยครับ ลุงแม่ทัพไม่เคยเหนื่อยต่อการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ เพื่อแผ่นดิน ไม่มีเวลาแม้กระทั่งเป็นไข้ ไม่มีเวลาที่จะไปเช็คอย่างอื่น ไม่มีเวลาที่จะไปทะเลาะกับคนในประเทศ มีเวลาอย่างเดียวคือ ไล่ศัตรูออกจากแผ่นดินไทยเท่านั้น ไม่เหนื่อย ถ้าแม่ทัพเหนื่อยใครจะมาทำหน้าที่ ถ้าแม่ทัพท้อแท้ใครล่ะจะเป็นคนที่เข้มแข็ง ถ้าแม่ทัพไม่เข้มแข็งลูกน้องจะทำอย่างไร ถ้าแม่ทัพไม่เป็นผู้นำ เราจะพึ่งใคร เพราะฉะนั้น คำว่าเหนื่อยไม่มี มีแต่พร้อม พร้อมที่จะทำหน้าที่เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน คือพวกเรา

และตัวแทนจากนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ถามว่า “ในฐานะที่หนูเป็นนักเรียนข้อมูลส่วนใหญ่ที่หนูได้รับมาจาก Instagram TikTok บ้าง ซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลที่เป็นจริง และไม่เป็นจริง ทางกองทัพจะมีวิธีการจัดการอย่างไรให้ข้อมูลที่ออกมาสู่สาธารณะชนมีความถูกต้อง และรวดเร็วผ่านทางโซเชียลมีเดีย พล.ต.วินธัย กล่าวว่า บริบทของสังคมปัจจุบันสิ่งนี้คือสิ่งที่ถือว่าเป็นปัญหา แต่ในปัจจุบันถือว่าขั้นแรกเขาจะใช้วิธีคัดกรองก่อนถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็จะเหมือนว่าเป็นการตีตราว่า เฟคนิวส์ และเผยแพร่ออกไปว่าไม่จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงสมมุติว่า ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกองทัพบกเราก็จะเริ่มดำเนินการใน 3 ขั้นตอน คือ 1.เอาโจทย์มาดูว่าจริง ๆ แล้วสงสัยอะไรหรือไม่ และมีอะไรที่เราอยากบอกหรือไม่แล้วเราก็เอาโจทย์ตัวนั้นมาแก้โจทย์ให้ข้อเท็จจริงเข้าไป สมมุติว่ามีคำตำหนิอะไรมาซักอย่างเราก็ต้องดูว่ามันมีความเป็นมาอย่างไร พอเราแก้โจทย์ได้เราก็ตอบโจทย์โดยโฆษกหรือเผยแพร่สู่สาธารณะ

เพราะฉะนั้นสิ่งแรกตอนที่เราจะเอาโจทย์มาทำเราต้องดูก่อนว่ามันจริงหรือไม่ถ้าไม่จริงก็เอาออกจากระบบและช่วยกันบอกว่าเรื่องนั้นไม่จริงถือว่าปัจจุบันดำเนินการได้ แต่มันจะมีเรื่องเฟคนิวส์เรื่องไม่จริงหรือเรื่องบิดเบือนเยอะหน่อย เพราะองค์ประกอบของโซเชียลมีเดียในปัจจุบันนั้น เขาอาจจะต้องการยอดผู้ติดตามยอดของคนเข้าถึง เพื่อที่จะสร้างเอ็นเกจ เพื่อให้เห็นมันมีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งเขาต้องการแค่นั้นหรือบางคนอาจจะไม่ได้คิดร้ายอะไรมากอยากจะทำให้มันเกิดผลพลอยได้ในเรื่องเหล่านั้นก็ไม่เป็นไร ก็พยายามทำความเข้าใจ ซึ่งเราก็แก้ไปตามระบบปัจจุบันที่พวกเราใช้กันอยู่

พล.ท.บุญสิน กล่าวเสริมว่า การที่พวกเรามีโทรศัพท์ทุกคนหรือการเสพสื่อไม่ว่าจะเป็นหนู คุณพ่อ คุณแม่ ก็เสพเหมือนกัน เชื่อง่ายเหลือเกินอะไรที่มันอยู่ในสื่อให้ดูอะไรที่มันเป็นบันเทิงก็ไม่เป็นไรดูเถอะหัวเราะคิกคัก แต่อะไรที่มันเป็นเรื่องที่คิดว่ามันจะแตกความสามัคคี เรื่องที่คิดว่ามันจะเป็นการใส่ร้ายกับคนอื่น เรื่องที่ทำให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน เกิดปัญหาขอให้พวกเธอทั้งหลายคิดก่อนว่ามันจริงหรือไม่ อย่าไปเชื่ออะไรง่าย ๆ “ลองแม่ทัพถ้าเชื่อถือนะรบตั้งนานแล้ว รบกับเขมร” ซึ่งมีแต่คนบอกว่า “เอาเลย เอามันเลย” ไม่ทำก็ถูกด่าอยู่ตลอดเมื่อไหร่จะเปิด ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้สติเห็นไหมว่ามาถึงมีศีลธรรมแล้ว ต้องมีเหตุ มีผล ต้องให้เกียรติหน่วยงานนั้น ๆ ให้แก่บุคคลนั้น ๆ ว่ามันใช่หรือไม่ ก่อนที่จะโพสต์อะไรลงไป

“น้องต้องมีสติ และหาข้อมูลให้ดีว่ามันจริงหรือไม่วิธีที่ดีที่สุด คือ สอบถามเจ้าตัว และหน่วยงานนั้น ๆ จากกองทัพบกก็สอบถามอาต๊อดก็ได้ กองทัพก็สอบถามลุงแม่ทัพก็ได้ บางทีเพื่อนแม่ทัพโทรมาบอกว่ามึงได้พูดแบบนี้จริงหรือเปล่าไหนส่งมาให้กูดูหน่อยสิ กูไม่เคยพูดอะไรแบบนี้ ถูกชาวบ้านเขาด่าฟรีกันเป็นร้อย” พล.ท.บุญสิน กล่าว

พล.ท.บุญสิน กล่าวต่อว่า ลุงแม่ทัพไม่เคยพูดเลย นี่คือมันจะเป็นใคร ในทางสื่อออนไลน์มันถึงมีมิติการรบมันมีหลายรูปแบบอย่างที่อาต๊อดว่า เพราะฉะนั้นฝากครูบาอาจารย์สอนน้อง ๆ เพิ่มเติมนิดนึงในการไม่ให้เป็นเหยื่อทางสังคมออนไลน์มันไม่ใช่เฉพาะความมั่นคงหลอกให้รัก หลอกให้ชอบ จึงอยากฝากน้อง ๆ ให้มีสติ และมีเหตุมีผลในการเสพสื่อ