ผู้ว่าฯสุรินทร์ สถานการณ์ยังอันตรายเสียงปืนใหญ่ดังต่อเนื่อง เร่งอพยพชาวบ้านจุดเสี่ยงออกจากพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศบรรยากาศล่าสุด เวลาประมาณ 16.00 น. ที่ศูนย์อพยพมหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ประชาชนในพื้นที่ติดกับชายแดนแนวปะทะ ได้อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ประมาณ 1,000 กว่าคน โดยสถานที่แห่งนี้สามารถรองรับประชาชนที่จะอพยพเข้ามาได้กว่า 2,000-7,000 คน
โดยได้โดยเจ้าหน้าที่ได้เตรียม อาคารที่พัก โรงครัวพระราชทาน สุขาและสุขาเคลื่อนที่ พร้อมกับห้องอาบน้ำชั่วคราวมาให้บริการผู้ประสบภัย นอกจากนี้ยังมีน้ำดื่มซึ่งขณะนี้มีเพียงพอแล้ว แต่ยังคงขาดเครื่องอุปโภคอาทิ ของใช้ส่วนตัว สบู่ แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ชุดชั้นใน เป็นต้น
ต่อมา นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า ในพื้นที่ความเสียหายภายในจังหวัดสุรินทร์ กระสุนปืนใหญ่มาตกในเขตอำเภอสังขะ ตำบลบ้านชบ ,ตำบลด่าน ทำให้มีประชาชนเสียชีวิต 2 รายและบาดเจ็บ 2 ราย และตกในเขตอำเภอพนมดงรัก ตกในเขตชุมชนและโรงพยาบาล นอกจากนั้นกัมพูชายังมีเป้าหมายโจมตีสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระบบไฟฟ้า ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังมีเสียงปืนใหญ่ดังเป็นระยะ ซึ่งแตกต่างจากปี 2554 ที่มีการปะทะเพียง 40 - 50 นาทีก็หยุด ดังนั้นจึงได้มีการอพยพประชาชนในพื้นที่ติดชายแดน ประกอบด้วย อำเภอพนมดงรัก ซึ่งเป็นจุดหลักในการปะทะ อำเภอกาบเชิง อำเภอสังขะ และอำเภอบัวเชด และอีกพื้นที่คืออำเภอปราสาท แม้ติดชายแดนแต่บางตำบลอยู่ใกล้พื้นที่ชายแดนมาก
นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ประชาชน 100,000 กว่าคน ที่ได้รับผลกระทบ สามารถอพยพออกจากพื้นที่ได้แล้วกว่า 70% โดยบางส่วนที่เป็นผู้ชายและผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง ก็ได้ขอให้อยู่เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยและทรัพย์สินภายในหมู่บ้าน เพื่อดูแลทรัพย์สินและดูแลสัตว์เลี้ยงที่อพยพออกมาไม่ได้ ซึ่งขณะนี้ สถานการณ์ในจังหวัดสุรินทร์ขณะนี้ถือว่ายังไม่ปลอดภัย ยังพบว่ามีการยิงปืนใหญ่เป็นระยะ ดังนั้น คนที่คิดจะกลับเข้าไป อยู่ใกล้ชายแดนเพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าหากสถานการณ์รุนแรงกว่านี้ จุดที่อพยพรวมไปถึงศาลากลางจังหวัดก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นเดียวกัน เพราะอยู่ในรัศมีการยิงประมาณ 120 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง