"บิ๊กเล็ก" รับหนังสือทีมลูกพ่อขุน ยื่น 3 ข้อเสนอคลี่คลายพิพาทไทย-กัมพูชา พร้อมเปิดวงคุยพี่แนะน้อง นศ. จะปิดปราสาทตาเมือนธมต้องเป็นไปตามกติกา ยืนยันกองทัพ-รัฐบาลทำงานทิศทางเดียวกัน ไม่มีใบสั่ง-คนชักใย
วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.30 น. ที่กระทรวงกลาโหม นายศิริมงคล อินทร์แก้ว นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมตัวแทนนักศึกษารามคำแหง เดินทางมายื่นหนังสือเกี่ยวกับประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำงานให้รวดเร็ว ไม่ล่าช้า และไม่ต้องเกรงใจรัฐบาล
โดยช่วงแรกมี พ.อ.ฐาปณา อุไรวรรณ รองหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ออกมารับหนังสือแทน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทางเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมแจ้งว่า พลเอกณัฐพล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม จะยินดีลงมาพบตัวแทนนักศึกษาด้วยตัวเอง เมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมมาถึงได้อนุญาตให้น้อง ๆ นักศึกษาที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาพูดคุยกันในห้อง
โดยพลเอกณัฐพล ระบุว่า ยินดีต้อนรับทุกคน และขออภัยในความไม่สะดวก ส่วนใหญ่จะให้ผู้แทนเข้ามามอบหนังสือ และตนจะไม่ได้ลงมารับหนังสือด้วยตัวเอง รวมถึงวันนี้ก็มีประธานบริษัทมินิแบร์ของญี่ปุ่นมาพบเพื่อขอความช่วยเหลือ เนื่องจากทางบริษัทมีโรงงานผลิตสินค้าในประเทศไทย แต่มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนในกัมพูชา เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้จึงไม่สามารถ ส่งชิ้นส่วนจากกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทยได้ ทำให้ตอนนี้ทางบริษัทต้องหยุดการผลิตไป ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างในโรงงาน จึงอยากเรียนให้ทราบว่าศบ.ทก. ในการบริหารสถานการณ์ ต้องรักษาสมดุลให้ดี ถ้าแรงไปก็มีกลุ่มที่เดือดร้อน หากอ่อนไปกลุ่มที่เน้นศักดิ์ศรีก็ไม่พอใจ ดังนั้นตนก็มาชั่งน้ำหนักว่าจะทำยังไง ตามหน้างาน หากอีกฝ่ายทำอะไรไม่ดีเราก็ว่ากันไป อะไรที่พอมีเหตุผลรับได้ก็ว่ากันไป
โดยสิ่งที่รับไม่ได้ เช่น การวางทุ่นระเบิดในเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งถือว่าผิดอนุสัญญาออตตาวา โดยศบ.ทก. คำนึงคืออยากรู้ว่าทุ่นระเบิดเป็นของใหม่ หรือ เป็นทุนระเบิดที่เคยวางไว้แล้วนำไปเก็บ แล้วค่อยเอามาวางใหม่ ซึ่งถือว่ามีความแตกต่างกัน แต่ถือว่ามีความผิดเหมือนกัน โดยถ้าหากว่าเป็นของใหม่แต่ไม่ยอมทำลาย ถือว่าจะเป็นความผิดอีก 1 คดี
ทั้งนี้ พลเอกณัฐพล ยังยืนยันว่ารัฐบาลกับกองทัพทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เปรียบเทียบว่าตนก็เหมือนระบบไฮบริดที่เป็นทั้งทหาร และรัฐบาล ย้ำอีกว่าตนไม่มีเกรงใจใครในรัฐบาล บางคนมองว่าเราทำงานภายใต้การชักใย แต่ตอนที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่เคยมาคุยเรื่องนี้กันเลย เรามีอิสระในการทำงาน
ส่วนความวุ่นวายที่ปราสาทตาเมือนธม พลเอกณัฐพล เผยว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีการปรึกษากับแม่ทัพภาคที่ 2 โดยหารือว่าทหารที่เข้าไปดูแลในพื้นที่ต้องมีฝ่ายละ 7 คนโดยไม่มีอาวุธ ส่วนนักท่องเที่ยวขอให้ขึ้นมากันเป็นกลุ่ม หากมาเป็น 1,000 คน ก็ขอให้ขึ้นมาทีละกลุ่ม แต่ที่เป็นกังวลคือ เกรงว่าจะมีการมายั่วยุ แล้วทหารเกินความอดกลั้น ซึ่งหากมีการใช้อาวุธเกิดขึ้นนั่นคือพลเรือนจะสูญเสีย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แล้วเราจะเป็นรองทันที
ส่วนเรื่องการปิดปราสาทตาเมือนธมนั้น พลเอกณัฐพล เผยว่า การทำอะไรต้องเป็นไปตามกติกาสังคม สมเหตุสมผล เหมาะสม แต่ก็ได้เตรียมการรับมือเอาไว้แล้วว่าต้องทำตามขั้นตอน หากมีการก่อกวนก็ให้ทหารฝ่ายกัมพูชาเชิญตัวออก แต่หากยังไม่ไปยังยั่วยุอยู่จะใช้ทหารพรานหญิงเข้าไปคลี่คลาย แต่ถ้ายังไม่หยุดอีกก็จะใช้กองร้อยปราบจราจลเข้าไป ถ้าเมื่อไรก็ตามที่มีการใช้กองร้อยจราจล เราจะขอปิดสถานที่ เพราะถือว่าเป็นการก่อความวุ่นวาย สำหรับการใช้กองร้อยปราบจราจลจะนุ่มนวลกว่าการใช้กำลังทหาร เพราะทหารมีอาวุธสงคราม ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเราเสียเปรียบและเป็นรองทันที แทนที่จะได้เล่นงานเรื่องทุ่นระเบิด แต่เราดันพลาดเรื่องนี้
“ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงถ้ามีการล่วงล้ำอธิปไตยเมื่อไร ตนจะไม่เป็นแบบนี้แน่นอน ประชาชนจะได้เห็นตนในอีก 1 บทบาท บอกได้เลยอาวุธที่เราพร้อมเผชิญหน้า แรงกว่าปี 2554 2 เท่า ส่วนเรื่องทุ่นระเบิดก็ได้ประนามไปแล้ว เราเองก็มาดูว่าจะสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้หรือไม่”
ด้านนายศิริมงคล อินทร์แก้ว นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้อ่านแถลงการณ์สามข้อเรียกร้องระบุว่า 1. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมควรต้องบูรณาการจัดการให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกับกองทัพเลิกเกรงใจฝ่ายการเมือง ที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเชิงเงื่อนไขส่วนตัว จนทำให้รัฐไทยดูอ่อนแอจนวันนี้ประชาชนตั้งคำถามว่าวันนี้รัฐบาลเพื่อไทย
2. ปิดพื้นที่จุดชนวนความขัดแย้งทันที เพราะตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ท่องเที่ยวแต่คือที่เผชิญหน้าของความขัดแย้งและจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยประเทศไทยอาศัยตามหลักฐานการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน
3. ทางองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง มองถึงความมั่นคงต้องมาก่อนไม่เห็นด้วยกับการเปิดด่านให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินต่อ ไม่ว่ากรณีใดใดเราต้องรักษาความมั่นคงอย่างเข้มงวดเพราะขณะนี้เราไม่สามารถจัดการปัญหาด้านความมั่นคงได้อย่างเป็นรูปธรรม ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นอีก ใครจะรับผิดชอบและความมั่นคงย่อมสำคัญที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้จนกว่าสถานการณ์จะดีกว่านี้
พร้อมทั้งเปิดเผยหลังเข้าไปพบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมว่า หายคลางแคลงใจมากขึ้น เข้าใจและรับรู้มากขึ้น สบายใจว่าเราไม่เสียเปรียบแน่นอน วันนี้เราได้รับฟังการอธิบายเรื่องมาตราการเปิดปิดด่านอย่างไรบ้าง ก็รู้สึกว่ายังเป็นมาตรการที่ยังได้เปรียบอยู่ หลังจากนี้จะไปพูดคุย ไปกระจายข่าว ทำความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชนได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าเรื่องไหนจริงหรือไม่จริงอย่างไร สำหรับวันนี้ตนไม่คิดว่าพลเอกณัฐพล จะลงมารับหนังสือด้วยตัวเอง รู้สึกเกินความคาดหวังไว้เยอะ