รมว.พาณิชย์ สั่งคุมเข้ม! การนำเข้ามันสำปะหลังจากกัมพูชา หลังพบสถานการณ์การค้าชายแดนยังตึงเครียด ย้ำจุดยืนรัฐบาลปกป้องเกษตรกรไทยและดูแลเสถียรภาพราคาภายในประเทศเป็นอันดับแรก

วันที่ 21 มิถุนายน 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศกัมพูชา หลังพบความตึงเครียดของสถานการณ์การค้าชายแดน ย้ำจุดยืนรัฐบาลปกป้องเกษตรกรไทยและดูแลเสถียรภาพราคาภายในประเทศเป็นอันดับแรก




โดยนายพิชัย เปิดเผยว่า ตนได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้ามันสำปะหลัง เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการนำเข้าสินค้ามันสำปะหลังทางชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันสินค้าคุณภาพต่ำทะลักเข้าสู่ตลาดในประเทศ อันอาจส่งผลกระทบต่อราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรไทยได้รับอยู่ในปัจจุบัน


ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดมาตรการควบคุมการนำเข้ามันสำปะหลัง โดยกำหนดจุดที่อนุญาตให้นำมันสำปะหลังเข้ามาจากกัมพูชาได้จำนวน 5 จังหวัด 6 ด่าน ได้แก่

1. จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จ.จันทบุรี
2. จุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน และจุดผ่อนปรนบ้านตาพระยา จ.สระแก้ว
3. ด่านศุลกากรคลองใหญ่ จ.ตราด
4. ด่านศุลกากรช่องจอม จ.สุรินทร์
5. ด่านศุลกากรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ


พร้อมทั้งกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องขึ้นทะเบียน แจ้งข้อมูลการนำเข้าล่วงหน้า และมีสถานที่จัดเก็บแยกจากมันสำปะหลังที่รับซื้อในประเทศ พร้อมรายงานข้อมูลต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง


ตนยังได้สั่งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศลงพื้นที่ทั้ง 6 ด่าน เพื่อสุ่มตรวจมาตรฐานมันเส้นที่นำเข้า หากพบว่าไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด จะดำเนินการพักใช้ทะเบียนนำเข้าในทันที จนกว่าจะปรับปรุงคุณภาพให้ได้มาตรฐาน


นอกจากนี้ กรมการค้าภายในยังมีมาตรการควบคุมการขนย้ายมันสำปะหลังสดและมันเส้น โดยห้ามขนย้ายสินค้าดังกล่าวในปริมาณตั้งแต่ 10,000 กิโลกรัมขึ้นไป เข้าหรือออกจากพื้นที่ควบคุม 60 อำเภอใน 16 จังหวัด เว้นแต่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ขณะนี้จะเข้าสู่ช่วงปลายฤดูการผลิตมันสำปะหลังทั้งในไทยและกัมพูชา แต่กระทรวงพาณิชย์ยังคงยืนยันว่าจะเข้มงวดกำกับดูแลการนำเข้าต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้กระทบกับราคาผลผลิตของเกษตรกรไทย พร้อมยกระดับคุณภาพมาตรฐานมันสำปะหลังไทยให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลก