กมธ.ทหาร เดือด! ออกแถลงการณ์ขอให้นายกฯ ลาออก ระบุ ความอดทนของคนในชาติได้สิ้นสุดลงแล้ว จากผู้นำรัฐบาลที่ด้อยความสามารถ ขาดประสิทธิภาพ ขาดภาวะผู้นำ
วันที่ 19 มิ.ย. 2568 คณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ร่วมกับสมาชิกวุฒิสภา ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 3 เรื่อง ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง โดยมีเนื้อหาระบุว่า
"นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์พิพาทบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐวุฒิสภา ได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำฝ่ายกัมพูชา และแสดงความไม่สบายใจต่อพฤติการณ์ของผู้นำรัฐบาล ที่แสดงออกถึงการด้อยความสามารถ ขาดภาวะผู้นำโดย คณะกรรมาธิการ ได้เรียกร้องให้เปิดอภิปรายทั่วไป เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา นั้น
คณะกรรมาธิการคาดหวังว่า ผู้นำรัฐบาลจะรับรู้ได้ด้วยจิตสำนึก และระลึกได้ว่า ตนเองคือ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะ เมื่อวานนี้ เวลา 14.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมา แถลงยอมรับว่า คลิปเสียงที่เผยแพร่ออกมานั้น...เป็นคลิปเสียงของตน...สนทนากับสมเด็จฮุนเซนจริง โดยมีเนื้อหาพาดพิงถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า "เป็นคนของฝ่ายตรงข้าม" รวมทั้งเป็นการด้อยค่า ไม่ให้เกียรติทหาร และกองทัพ ที่ทำหน้าที่รักษาอธิปไตย และบูรณะภาพแห่งดินแดน อีกทั้งการสนทนาเป็นลักษณะการยินยอมอ่อนข้อและอ่อนน้อม ให้กับอริราชศัตรูผู้รุกรานต่อแผ่นดินไทย โดยได้แสดงท่าที ที่พร้อมจะตอบสนองความต้องการ ที่สมเด็จฮุนเซนเรียกร้อง การกระทำของผู้นำรัฐบาลเช่นนี้ ทำให้ประเทศชาติเสียหายอย่างใหญ่หลวง และประชาชนคนไทยหมดความเชื่อถือ ศรัทธา เพราะที่ผ่านมาพฤติการณ์ของ ผู้นำรัฐบาล ล้วนส่อไปถึงความเป็นคนไม่รักชาติ (บ่งบอกความเป็นคนทรยศขายชาติ)
บัดนี้ ความอดทนของคนในชาติ ได้สิ้นสุดลงแล้ว จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจาก ผู้นำรัฐบาลที่ด้อยความสามารถ ขาดประสิทธิภาพ ขาดภาวะผู้นำประเทศชาติขาดความเป็นปึกแผ่น ไร้ศักดิ์ศรีและเกียรติภูติภูมิ คณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา จึงขอเรียกร้องให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร แสดงความรับผิดชอบต่อการทำให้ประเทศไทยต้องเสียเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีของชาติ ประชาชน และกองทัพ ด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
จากพฤติกรรมดังกล่าว คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภภา และสมาชิกวุฒิสภาผู้รักชาติและแผ่นดินเห็นว่า ในเบื้องต้นการกระทำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาจเข้าข่ายเป็นความผิด ดังนี้
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เช่น มาตรา 5 บุคคลมีหน้าที่ดังต่อไปนี้ (2) ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของประเทศชาติและสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาตรา 52 รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิบไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มีการทหาร การทูตและการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ มาตรา 164 ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และต้องปฏิบัติตาม หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ด้วย (1) ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความชื่อสัตย์ สุจริต เสียสละเปิดเผย และมีความรอบคอบและระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม (4) สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรมผาสุก และสามัคคีปรองดองกัน
2. ประมวลกฎหมายอาญา หมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร และหมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร ในมาตราต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฐานเป็นกบฏ หรือคบคิดกับบุคคลซึ่งกระทำการเพื่อประโยชน์ของรัฐต่างประเทศหรือที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ หรือร่วมเป็นข้าศึกของประเทศ และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
3. นอกจากกระทำความผิดตามรัฐธธรรมนูญและกฎหมายในหลายมาตรา ดังกล่าว ยังส่งผลต่อการดำรงตำแหน่งทางการเมือง และการตำหนิผู้นำทหาร คือ แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็น คนละฝ่ายกับเรา ซึ่งหมายถึงเป็นคนละฝ่ายกับนายกรัฐมนตรีไทยกับประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ถือเป็นการสร้างความแตกแยกในชาติ และยังเป็นการกระทำที่เข้าข่ายไม่ชื่อสัตย์สุจริต และละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว คณะกรรมาธิการจึงไม่อาจปล่อยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลฝั่งเดียวกันกับกัมพูชาและเป็นฝั่งตรงข้ามกับประเทศไทย ให้บริหารประเทศต่อไปได้ ดังนั้น คณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งและยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันที พร้อมกันนี้ คณะกรรมาธิการไม่อาจปล่อยให้บุคคลที่เป็นฝุ่งตรงข้ามกับประเทศไทยบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้แม้แต่วินาทีเดียว กรณีจึงมีความจำเป็นต้องยื่นถอดถอนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติและมีลักษระต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เพราะไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 และตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 รวมทั้งดำเนินการเอาผิดกับนายกรัฐมนตรีต่อองค์กรต่าง ๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ขอให้ประชาชนทุกภาคส่วน รับฟังข่าวสารที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ อย่าหลงเชื่อข่าวสารที่เป็นข่าวปลอม เพื่อปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิดจากผู้ไม่หวังดีเพราะจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ ให้เกิดความวุ่นวายและขอให้ประชาชนร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยความสงบ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ประเทศชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์
คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา พร้อมทั้งสมาธิกวุฒิสภา ได้ตระหนักในบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบ ต่ออธิปไตยและความมั่นคงของชาติ ด้วยการทำหน้าที่ เพื่อประเทศชาติและประชาชนคนไทย ให้ดีที่สุด และพร้อมจะยืนเคียงคู่กับประชาชน ข้าราชการทุกหมู่เหล่า และกองทัพ เพื่อดำรงรักษาอธิปไตย และประเทศชาติอย่างสุดกำลัง
"เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน"
ด้วยความเคารพและห่วงใย
พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา
ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา"