"นายกฯอิ๊งค์" เปิดทำเนียบต้อนรับ "โอปอล Miss World 2025" พร้อมจับมือ สานต่อโครงการร่วมกัน ซึ่งเป็นโครงการที่ โอปอล ทำอยู่แล้ว "โครงการ Opal for her" ที่เป็นโครงการ รณรงค์เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมของผู้หญิง

วันนี้ (17 มิถุนายน 2568) ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำสัปดาห์

นายกรัฐมนตรีได้ให้การต้อนรับ นางสาวสุชาตา ช่วงศรี หรือ โอปอล์ miss world คนที่ 72 หลังคว้ามงกุฎฟ้า มงแรกให้กับประเทศไทย พร้อมด้วยนางจูเลีย มอลีย์ ประธานองค์กรมิสเวิลด์ พร้อมด้วย แม่ปุ้ย นางปิยาภรณ์ แสนโกศิก ในฐานะประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีเอ็น โกลบอล

ซึ่งนายกรัฐมนตรี ยินดีสนับสนุนโครงการ และพร้อมทำโครงการร่วมกัน ซึ่งเป็นโครงการที่ โอปอล ทำอยู่แล้ว “ โครงการ Opal for her" ที่เป็นโครงการ รณรงค์เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมของผู้หญิง

ขณะที่ โอปอล และ แม่ปุ้ย บอกว่า ยินดีที่จะสนับสนุนงานทุกด้านของรัฐบาลโดยเฉพาะเรื่องการผลักดันซอฟพาวเวอร์ พร้อมให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ซึ่งเข้าใจว่าการมาอยู่ในตำแหน่งนี้ เป็นเรื่องที่ยากจึงขอให้กำลังใจ Women to Women ให้นายกมีกำลังใจในการทำงานเพื่อประเทศชาติต่อไป

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวพยายาม สอบถามนายกรัฐมนตรีถึงกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี และการต่อรองแลกเก้าอี้ กระทรวงมหาดไทย กับพรรคภูมิใจไทยซึ่งนายกไม่ได้ตอบคำถาม

 

 

 

โดยก่อนนายกรัฐมนตรีจะเดินขึ้นตึกบัญชาการ 1 จังหวะที่นายภูมิธรรมยืนคุยกับผู้สื่อข่าวบริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เดินมาและเข้าไปสวมกอดทักทายนายภูมิธรรม ก่อนผู้สื่อข่าวจะแซวว่าเป็นการแซวปลอบใจ ทำให้นายภูมิธรรมตอบกลับทันทีว่า “เดี๋ยวเป็นข่าวว่าภูมิธรรม ปลอบใจสมศักดิ์” ขณะที่นายสมศักดิ์ได้เข้าไปสวมก่อนอีกรอบ พร้อมกล่าวว่า สมศักดิ์ปลอบใจภูมิธรรม ก่อนจะหัวเราะพร้อมกัน โดยนายภูมิธรรมบอกว่า “ด้วยกันๆ ช่วงนี้ผลโพลต่ำเหลือเกิน”

สำหรับวาระการประชุมที่น่าสนใจวันนี้จะ มีการหารือถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะผลการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 มิ.ย.ที่ผ่านมา และประเด็นการสื่อสารของฝ่ายกัมพูชาที่ขัดต่อข้อเท็จจริงจากการเจรจา ซึ่งรัฐบาลไทยแสดงความผิดหวังต่อถ้อยแถลงของสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ขู่ปิดด่านชายแดน หากไทยไม่ปรับเวลาเปิด-ปิดด่าน และย้ำจุดยืนของประเทศไทยที่ไม่ยอมรับเขตอํานาจศาลบังคับของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตั้งแต่ปี 1960 โดยคํานึงถึงบริบทเฉพาะของแต่ละเรื่อง ลักษณะของสถานการณ์ และผลประโยชน์อธิปไตยที่เป็นเดิมพัน และปัญหาขอบเขตในปัจจุบันควรได้รับการแก้ไขผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ทั้ง JBC, RBC และ GBC รวมถึงฟอรัมทวิภาคีอื่นๆ