"ภูมิธรรม" รับกัมพูชา ล้ำ 200 เมตร จริง แต่เป็นจุด No Man's Land ลั่นหากเจรจาไร้ผล พร้อมปิดด่าน

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยอมรับมีข้อมูล ข่าวสารที่ออกมาบางส่วนมีการบิดเบือน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง เช่น มีการขุดระเบิดแล้วมาวางไว้ แม่ทัพภาคที่สองยืนยัน เรื่องนี้ไม่เคยมีทุ่นระเบิด มารุกล้ำบริเวณจุดนั้น ภาพนั้นถือเป็นภาพเก่า ทางฝั่งขวาของปราสาทพระวิหาร ซึ่งถือว่าเป็นเขตที่มีทุ่นระเบิด แต่ทางการไทยก็พยายามตรวจค้น และดำเนินการจับกุมอยู่แล้ว ดังนั้นกระแสข่าวที่บอกว่ามีการบุกเข้ามานั้น

แล้วมีการวางทุ่นระเบิด ขณะที่ประเทศไทยยังนิ่ง ถือเป็นการสร้างความ สับสนและทำลายศรัทธาความร่วมมือของประชาชน ซึ่งไม่เป็นผลดี

ส่วนการรุกล้ำ 200 เมตร นั้น ทั้งหมดนี้อยู่ที่คณะกรรมการ JBC ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ชายแดนกำหนดแต่ละฝ่ายมีจุดที่ค่อมกัน ดังนั้นจึงกำหนดให้เป็น No Man’s Land เมื่อมีการเข้ามาในจุดนี้ ซึ่งฝั่งกัมพูชาคิดว่าเป็นจุดของเขา ดังนั้นจึงเป็นการละเมิดข้อตกลงของ JBC ข้อ 5 ซึ่งไทยก็มีข้อมูลหลายอย่าง อย่างไรก็ตามถือว่าไทยได้เริ่มต้นจากจุดสันติวิธี และเชื่อว่า JBC จะมีคำตอบได้ หากกัมพูชาไม่ยอมรับในประเด็นปัญหานี้ ดังนั้นต้องรอข้อสรุปทั้งหมดจากการประชุมเจบีซีในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ที่กรุงพนมเปญ ถือเป็นกลไกระหว่างประเทศที่ไทยทำกับชายแดนทุกภาคส่วน ที่จะมีการพูดคุยกันในทุกระดับ แต่ปัญหานี้ เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น หากย้อนไปเมื่อปี ระหว่างปี 53-54 ก็ได้ใช้เวทีนี้ทำให้ยุตติ สงครามและสู้รบ ซึ่งก็ใช้กลไกนี้ ทุกฝ่ายยอมรับว่าต้องดำเนินการเช่นนี้ วันนี้ไทยต้องการให้กัมพูชายืนตามกลไกของ JBC ย้ำว่าจุดที่กัมพูชามาตั้ง คือ NO MAN LAND ที่ยังไม่มีข้อสรุปว่าเป็นจุดของใคร ดังนั้นอยากให้กลับมาอยู่จุดเดิม โดยแม่ทัพภาคที่ 2 บอกกับตัวเองชัดเจนว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ได้ถอยมาในจุดเดิม แต่กัมพูชาไม่ยอมถอย ถือเป็นการละเมิดข้อตกลง แต่ไม่ใช่เรื่องบุกแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการถูกเถียงกันยังไม่จบ เพราะเป็นปัญหาชายแดนที่ยังต้องมีการพูดคุยกันอยู่ ดังนั้นกลไกเจบีซีจึงสำคัญ ว่ากัมพูชาละเมิดหรือไม่ เพราะจะมีฝ่ายเทคนิคต่าง ๆ พี่พร้อมไปดูที่จริง ขณะนี้ใครรออยู่ ดังนั้น 14 มิถุนายนนี้จะมีความชัดเจน

นายภูมิธรรม ยืนยันอีกว่าสิ่งที่ทำไม่ได้ยอมใคร แต่ยืนยันไทยเริ่มต้นจากสันติ และความเป็นห่วงนำไปสู่การใช้กลไกระหว่างประเทศที่มีอยู่ในการแก้ปัญหา ดังนั้น ส่วนตัวไม่ว่าใครหากจะเอาชนะตนเองทางการเมือง หวังทำลายเครดิตตนเอง แต่เรื่องของประเทศชาติไม่ควรเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใช้เอาประโยชน์ทางการเมือง หรือสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ตนเองพูดยืนยันได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม นายภูมิธรรม ระบุว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติได้มีการประชุมชุดเล็ก หารือติดตามประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาไปแล้วเมื่อวานนี้ (4 มิ.ย.) ซึ่งจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการฯ เพื่อติดตามเรื่องนี้โดยเฉพาะ ขออย่ากังวล เรื่องนี้พลาดไม่ได้ โดยวันนี้ (5 พ.ค.) ไม่ได้เข้าพบหารือกับนายกรัฐมนตรีในช่วงบ่ายแต่ได้มีการรายงานสถานการณ์จากการลงพื้นที่ผ่านทาง ไลน์ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

ส่วนที่ กลุ่ม คปท.จะเดินทางไปที่กระทรวงกลาโหม เรื่องนี้ไม่เป็นไร ซึ่งจะมีตัวแทนรับหนังสือ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้หนีแต่มีภารกิจประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลตลอดทั้งวัน เพราะตนเองได้ทำงาน 2 กระทรวง ทั้งทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงกลาโหม ย้ำว่าไม่ได้หนี

นายภูมิธรรม ยังกล่าวถึง การประชุม IISS Shangri-La Dialogue เวทีหารือด้านความมั่นคงที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีรายงานว่ากัมพูชาอาศัยเวทีนี้ ฟ้องเรื่องทหารไทยทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตจากเหตุปะทะที่ช่องบก ว่า ไม่ใช่การฟ้องข้อเท็จจริงคือ ในช่วงที่ตนกับฟิลิปปินส์และเอสโตเนีย 3 ประเทศขึ้นไปพูดเรื่องการสร้างเครือข่ายข้ามภูมิภาค ซึ่งระหว่างเปิดให้ซักถามมีทหารกัมพูชา ที่ไม่ใช่ระดับตัวแทนใหญ่ได้สอบถามฟิลิปปินส์ว่าในกรณีที่เกิดเหตุ ปะทะของไทยกัมพูชา ควรจะทำอย่างไร ซึ่งทางฟิลิปปินส์ไม่ได้ตอบคำถามนี้ ซึ่งไม่ใช่ตัวแทนของกัมพูชาขึ้นไปพูดบนเวที ดังนั้นไม่ถือว่าเป็นสาระที่เราต้องทำอะไร แต่ถ้าเป็นตัวแทนเราต้องประท้วง

ส่วนการระบุว่ากัมพูชาผิดข้อตกลงเจบีซี ข้อที่ 5 ใครจะมีบทลงโทษหรือบทตอบโต้อย่างไร นายภูมิธรรมกล่าวว่าตั้งแต่มีการเผาศาลาตรีมุข เราก็สั่งกองทัพบกให้มีการเตรียมพร้อม ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ซึ่งกองทัพบกก็เตรียมการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตนจึงบอกว่ามั่นใจได้ว่าถ้าหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกองทัพมีความพร้อม ซึ่งการละเมิดข้อตกลงถึงต้องมีการประชุมเจบีซี เพราะหยุดไปนานพอสมควรแล้ว โดยครั้งสุดท้ายไทยเป็นเจ้าภาพ ดังนั้นไทยจึงเสนอให้กัมพูชาจัดประชุม ซึ่งถ้าไม่พร้อม ไทยก็จะจัดเอง ซึ่งจริงๆ ตนเสนอว่าอยากให้จัดประชุมภายในวันที่ 6 มิถุนายน จะได้รีบจบ แต่รัฐมนตรีเขตแดนของกัมพูชา ติดภารกิจอยู่ที่แคนาดา แต่เขาก็บอกว่าจะรีบให้เร็วที่สุด สุดท้ายจึงสรุปว่าเป็นวันที่ 14 มิถุนายน ที่กรุงพนมเปญ ซึ่งเราก็ยอมรับได้ ซึ่งมีการประชุมคณะของฝ่ายไทยตั้งแต่ตนอยู่สิงคโปร์ โดยมีทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กองทัพไทย กองทัพบกและฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว

สำหรับเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ทำอะไรไปบ้าง นายภูมิธรรมกล่าวว่า เรามีเอกสารหลักฐานที่กองกำลังสุรนารี ยื่นประท้วงทุกครั้ง หรือแม้กระทั่งการเจรจาในเจบีซีทุกอย่างที่เราประท้วง เราพิสูจน์ว่าเราไม่ได้ยอมรับในการเจรจา แม้กระทั่งวันที่ส่งผู้บัญชาการทหารบก ไปคุยกับผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา เขาก็ยืนยันว่าตรงนั้นเป็นของเขาไปแล้ว แต่เราก็ยืนยัน ตรงนี้เป็นเขตที่ให้เอ็มโอยู 43 เข้ามาแก้ปัญหา ซึ่งกระบวนการสันติทำมาตลอด แต่หลายอย่างเราไม่อยากพูด ไม่จำเป็นต้องพูดกลางอากาศ แต่เป็นเวทีที่เราต้องเตรียมพร้อมที่สุด จึงไม่อยากให้เขารู้ว่าเราเตรียมอะไร ซึ่งถ้าในเจบีซีคุยได้ข้อยุติ ก็ดีก็จบ ถ้าไม่มีข้อสรุปก็ต้องให้ตัวแทนกรรมการเจบีซี ไปพื้นที่จริงแล้วไปดูเท่านั้นเอง แล้วเราต้องคิดต่อไปว่าจะดำเนินการโดยมาตรการอะไร

ส่วนก่อนถึงวันที่ 14 มิถุนายน ทั้งสองฝ่ายต้องหยุดทุกอย่างก่อนใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มันเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น แต่เราห้ามใจแต่ละฝ่ายไม่ได้ ถ้าอะไรเกิดขึ้นมาเราก็จะประท้วง พร้อมย้ำว่าการประชุมเจบีซี ไม่ใช่ว่าเราจะไปยอมศิโรราบเขา หรือฟังคำสั่งเขา เดี๋ยวจะบานปลายอีก เพราะในความเป็นจริง แม้จะรอการประชุมเจบีซีแต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเขาก็มีการพบกันอยู่แล้ว อย่างแนวเส้นสัตบรรณ เป็นจุดกลางใน No Man’s Land ซึ่งทุกคนก็มาเจอกัน นั่งกินข้าวตรงนั้น พอเป็นจุดสามประเทศ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่สมเด็จฮุนเซน เอาภาพมาแสดง เพราะนั่นคือศาลาตรีมุข วันนี้มันจึงสับสนไปหมด จึงอยากให้ทุกคนใช้สติและตรวจสอบข้อมูลก่อน ไม่งั้นเราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยโหมกระแส มันจะยากสำหรับการเจรจา และบางเรื่องต้องเสนอด้วยความเข้าใจและข้อเท็จจริงจึงจะเหมาะสม

ทั้งนี้ มีสถานการณ์ฉุกเฉิน แม่ทัพภาค สามารถสั่งปิดด่านได้เลยใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ถ้าเป็นการประกาศกฎอัยการศึกแม่ทัพมีอำนาจในการสั่งปิด แต่เมื่อวานที่ตนได้คุยแม่ทัพภาคที่ 2 ก็บอกว่า จะไปทีละขั้น ถ้าไม่มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น จากตรงนี้ไปเราอาจสั่งปิดก็ได้ หรือปิดเป็นช่วงเวลา ก็แล้วแต่มาตรการที่เหมาะสม ที่ไม่ขยายความขัดแย้ง แต่ปัญหาสำคัญคือ มันพร้อมสู่มาตรการนี้หรือยัง