ที่ จ.ตรัง เค้าปลูกต้นกาแฟแซมไปกับสวนยางพารา มั่นใจรสชาติดีไม่แพ้กาแฟเมืองนอก

นายถนอมชัย กล่อมปัญญา อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 80/3 หมู่ที่1 ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จ.ตรัง ทดลองนำกาแฟพันธุ์อะลาบีก้า มาปลูกแซม ในร่องสวนยางพาราอายุ 10 ปี บนเนื้อที่ ประมาณ 18 ไร่ จำนวน 2,500 ต้น เพื่อต้องการหารายได้เสริมนอกเหนือจากการทำสวนยาง

โดยใช้เวลาปลูกประมาณ 8 เดือนกาแฟ ก็จะออกดอกและผล สามารถเก็บไปคั่วหรือบด และนำมารับประทานได้ แต่หากใช้เวลาประมาณ 1 ปี ครึ่ง ต้นกาแฟจะเติบโตและแข็งแรงมากขึ้น ทำให้ได้เมล็ดกาแฟสดต้นละประมาณ 1 – 2 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถนำไปขายได้กิโลกรัมละ 18 บาท แต่ถ้านำไปตากแห้งแล้วกะเทาะเปลือกจะขายได้กิโลกรัมละ 80 บาท

โดยปลูกมาแล้วประมาณ 4 ปี ได้เมล็ดกาแฟ ต้นละ 3 กิโลกรัม ขึ้นไป ซึ่งสวนยางพาราวัยแก่โดยทั่วไป เกษตรกรไม่นิยมปลูกพืชอื่นแซม เนื่องจากพืชส่วนใหญ่ต้องการแสงแดดจัด แต่ต้นกาแฟเป็นพืชที่ไม่ต้องการแสงแดดจัด และจะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มรำไร จึงเหมาะสำหรับปลูกแซมในสวนยางพารา ซึ่งนอกจากจะทำให้ดูร่มรื่นแล้ว ในช่วงหน้าแล้งที่ต้นยางพาราผลัดใบ เกษตรกรจะต้องหมั่นรดน้ำและใส่ปุ๋ยต้นกาแฟ ทำให้ต้นยางพาราได้รับน้ำและปุ๋ยไปด้วย จะทำให้สวนยางที่ปลูกต้นกาแฟไม่เหี่ยวเฉา เหมือนสวนยางที่ไม่ได้ปลูกต้นกาแฟ

กาแฟพันธุ์อาลาบีก้า เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ทางภาคใต้มากกว่าพันธุ์อื่นดูแลไม่ยุ่งยาก รดน้ำ 2 – 3 วัน ต่อ ครั้ง โดยในรอบ1ปีสามารถเก็บเมล็ดกาแฟได้ 2 ครั้งๆละประมาณ 1 เดือน อีกทั้งยังมีตลาดรับซื้อเป็นจำนวนมากเพราะปัจจุบันประเทศไทย ยังต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟจากต่างประเทศ ปีละหลายร้อยล้านบาท

เกษตรกรจึงขยายพันธุ์ต้นกาแฟ เพื่อจำหน่ายให้กับเกษตรกรรายอื่นๆในราคาต้นละ 25 บาท และหากซื้อมากกว่า 500 ต้น จะเหลือต้นละ 20 บาท พร้อมให้คำแนะนำและเชิญชมแปลงตัวอย่างได้ ฟรีทุกวัน และยังรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรที่ซื้อต้นกาแฟจากสวนของตน ในราคาท้องตลาดด้วย โดยหลังเพาะต้นกล้ากาแฟขายได้เพียง 4 เดือน สามารถขายได้ทั้งภาคใต้ภาคกลางและภาคตะวันออกกว่า 10,000 ต้น

ส่วนใครที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 089-7887550

จ.ตรัง ปลูกกาแฟในสวนยางพารา