วันนี้ (24 มิ.ย. 67) เวลา 11.30น. นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ (หรือ กัน จอมพลัง ) ลงพื้นที่ไปยัง บ้านค้อ ตำบลคอนกาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีษะเกษ โดยมีครอบครัวน้องอลิสมารอให้การต้อนรับ มีการผูกผ้าขาวม้า และชาวบ้านในหมู่บ้านที่มาร่วมให้กำลังใจกับครอบครัวน้องอลิส

 

สำหรับบรรยากาศการพูดคุยระหว่างครอบครัวของน้องอลิส และคุณกันจอมพลัง ที่ได้เดินทางมาเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของน้องอลิส ตามที่ได้มีการขอความเป็นธรรม กรณี ลูกสาว วัย 3 ขวบ ที่ฝากไว้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ แต่กลับพบเป็นศพ จมน้ำเสียชีวิต ในจุดเกิดเหตุที่ห่าง จากศูนย์ฯ ถึง 600 เมตร โดยพบหลักฐาน เป็นรองเท้าผ้าใบ ลักษณะผิดสังเกตุ ไม่เปื้อนโคลน และแพมเพิทที่ถูกถอดทิ้งอย่างเป็นระเบียบ 

 

ดังนั้นทางครอบครัว ยังคงติดใจการตายของน้อง ด้วยกัน 4 ประเด็น คือ 1. ผลชันสูตรศพ ที่ไม่พบโคลนอยู่ในปอดของน้อง 2. ความคืบหน้าของคดีที่ยังล่าช้า 3. ทำไมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ยังไม่เข้ามาตรวจภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ และ 4 กลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคดี เพราะกลัวอิทธิพลในท้องถิ่นนั้น จึงอยากให้กันจอมพลังช่วยเหลือประเด็นดังกล่าว 

 

เบื้องต้น คุณกันจอมพลัง จึงได้มีการประสานไปยังชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 3 กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เข้ามาพูดคุยถึงเรื่องคดีที่ล่าช้า และทางครอบครัวของน้องอลิสที่ยังมีข้อสงสัยในคดีอยู่ รวมถึงสวัสดิการการช่วยเหลือ และเยียวยาครอบครัว โดยได้มีการนัดหมายพูดคุย ที่ สภ.ยางชุมน้อย ในช่วงบ่าย

 

หลังจากนั้นได้เดินทางไปยัง ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อเพื่อสำรวจจุดเกิดเหตุและ เส้นทางที่น้องอลิสหายไป

 

ต่อมา ช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ "กัน จอมพลัง" ได้ลงพื้นที่ไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ เพื่อต้องการดูสถานที่เกิดเหตุจริง โดยมีครอบครัวของน้องอลิส วัย 3 ขวบ ได้เเก่ พ่อ เเม่ ปู่ทวด เเละญาติๆ เดินทางไปด้วย นอกจากนี้พบว่ายังมีชาวบ้านในพื้นที่ หลังจากทราบข่าวว่ากันจอมพลังจะเดินทางมา ก็ต่างมารอสังเกตการณ์อยู่เป็นจำนวนมาก และมาให้กำลังใจกันจอมพลัง ขอความเป็นธรรมให้กับน้องวัย 3 ขวบ เพราะเชื่อว่าเด็กวัยนี้ไม่สามารถเดินไปยังจุดพบศพเองได้ 

 

โดยกันจอมพลังได้ทดลองเดินจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไปยังบ่อน้ำจุดพบศพ ระยะทาง 600 เมตร เนื่องจากต้องการทราบว่าสภาพพื้นที่เป็นอย่างไร เพื่อหาคำตอบว่าเด็กจะสามารถเดินได้เองหรือไม่ โดยเริ่มเดินออกทางด้านหลัง บริเวณชิงช้า ต้องก้าวขาข้ามรั้วความสูง 1 เมตร ซึ่งจุดนี้กันจอมพลังก็เริ่มตั้งข้อสงสัย หันมาถามนักข่าวว่ารั้วขนาดนี้เด็ก 3 ขวบ ข้ามได้จริงหรือ ก็ได้รับคำตอบว่าก่อนหน้านี้ทางตำรวจเคยเอาเด็กมาจำลอง พบว่าเด็กข้ามไปได้เป็นบางคน ทั้งเด็ก ผญ. และ ผช.

 

หลังจากนั้นได้เดินขึ้นเนินดินไปยังถนน ก่อนจะเดินข้ามคลองส่งน้ำ เพื่อไปยังทุ่งนา ซึ่งกันจอมพลังก็ตั้งข้อสังเกตุว่าโดยธรรมชาติของเด็กจะต้องเดินทางราบ ดังนั้นหากถึงจุดนี้ก็ต้องเดินหรือวิ่งไปตามถนนซ้ายขวา เเต่เหตุใดจึงต้องปีนข้ามคลองเเล้วเดินไปตามทุ่งนา

 

ก่อนจะเดินต่อไปตามคันนา จนถึงบ่อน้ำจุดพบศพ ซึ่งกันจอมพลัง มีอาการเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด พร้อมมองว่าเด็กไม่น่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ เพราะขนาดตนเองเป็นผู้ใหญ่ยังเดินลำบาก เเต่สำหรับเด็ก 3 ขวบ เดินไม่ได้อย่างเเน่นอน พร้อมตั้งข้อสงสัยว่า เด็กไม่น่าเดินตามทางคันนา น่าจะต้องเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ตามทุ่งนาไป นอกจากนี้กันจอมพลัง ยังได้เดินไปดูจุดเจอผ้าอ้อมสำเร็จรูปเเละบ่อน้ำจุดพบศพ 

 

โดยปู่ทวด เเละพ่อเเม่ของน้อง ได้อธิบายสภาพพื้นที่ให้กันจอมพลัง เป็นระยะ ว่าช่วงเวลาเกิดเหตุตลอดเส้นทางก่อนถึงจุดพบศพ มีเเต่ทุ่งนาที่เต็มไปด้วยน้ำ จึงตั้งข้อสังเกตว่าเด็กวัยเเค่ 3 ขวบ หากจะเล่นน้ำคงจะเล่นจุดใกล้ๆ คงไม่เดินมาไกลจนถึงบ่อน้ำ เเละปู่ยังตั้งข้อสังเกตตอนที่ครูมาพบศพ เนื่องจากพื้นที่โดยรอบมีบ่อน้ำเป็นจำนวนมาก หากคนทั่วไปคงเดินดูรอบ ๆ ก่อน เเต่เหตุใดครูจึงเดินมุ่งหน้ามายังบ่อนี้ จนพบศพ 

 

ภายหลังจากดูพื้นที่เกิดเหตุ กันจอมพลัง บอกว่าก่อนหน้านี้ตนเองเกิดความคาใจว่าเด็กวัย 3 ขวบจะสามารถเดินไปเองได้หรือไม่ ซึ่งจากการลงพื้นที่ในวันนี้ ต้องเเยกพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนเเรกคือรั้ว กับบันไดไม้ด้านหลัง ตนเองเชื่อว่าเด็กอาจจะสามารถปีนข้ามได้เนื่องจากธรรมชาติของเด็กวัยนี้จะชอบปีนป่าย เเต่จุดที่ตนคาใจ คือเส้นทางตั้งเเต่คลอง ไปจนถึงจุดพบศพ เพราะเชื่อว่าธรรมชาติของเด็กต้องเลือกเดินทางสบาย เช่นเดินตามถนน เเต่เหตุใดจึงต้องข้ามคลอง เเล้วเดินลัดเลาะตามทุ่งนาไปบ่อน้ำ ซึ่งระยะทางไกลมากสำหรับเด็กวัยนี้ และตนยังตั้งคำถามอีกว่า หากเด็กจากเล่นน้ำจริง คงไม่ไปไกลจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมานัก เพราะตลอดเส้นทางก่อนถึงจุดพบศพ ล้วนเป็นทุ่งนาที่มีน้ำ 

 

นอกจากนี้กันจอมพลัง ยังพูดถึงสภาพพื้นที่ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งดูไม่ปลอดภัย รั้วก็ชำรุด กล้องวงจรปิดก็ไม่มี ถ้าหากตนเป็นชาวบ้าน คงไม่กล้าส่งลูกมาเรียนที่นี่เช่นกัน ดังนั้นจึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ อบต. ควรปรับปรุงเเก้ไขพื้นที่ให้เหมาะสมกับการดูเเลเด็ก หากติดขัดตรงไหน หรือไม่มีงบประมาณ ก็ให้มาบอก เดี๋ยวตนจะระดมทุนจาก fc มาทำให้ เพราะตนก็มีเอฟซีที่ติดตามเเละพร้อมช่วยเหลือ ขณะเดียวกัน จากนั้นทางครอบครัวได้พูดถึงเรื่องประเด็นอยากให้ช่วยประสานนำครูทั้งสามคนออกจากโรงเรียนเพราะทางผู้ปกครองไม่มีความไว้วางใจ ซึ่งกันพลังรับปากจะช่วยประสานกระทรวงศึกษาธิการถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

 

จากนั้น คุณกัน จอมพลังและครอบครัวน้องอลิสรวมถึงชาวบ้านได้ลงพื้นที่ไปยังวัดป่ามณีสีชมพูเพื่อดูสุสานศพของน้องอลิส ซึ่งคุณกัน จอมพลังได้มีการตั้งจิตอธิฐานเพื่อบอกกล่าวน้องอลิส จากนั้น ขณะที่คุณกัน จอมพลัง กำลังกำลังตั้งจิตอธิษฐานได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก จากนั้นญาติของน้องอลิสได้มีการเคาะปูนซีเมนต์ที่ได้บรรจุร่างน้องเอาไว้ เพื่อบอกกล่าวน้องอลิสถึงคุณกันจอมพลังได้มาช่วยเหลือ

 

ต่อมา 13.40 น. กัน จอมพลัง พร้อมทีมงานและครอบครัวน้องอลิสได้เดินทางไปยัง สภ.ยางชุมน้อยเพื่อพบกับ ตำรวจชุดคลี่คลายคดี พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน โดยผู้กำการสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เป็นผู้รายงานความคืบหน้าทางคดีให้กับครอบครัว ใช้เวลานานกว่า 30 นาที ในการพูดคุย ถึงประเด็นต่างๆที่ครอบครัวสงสัย 


ต่อมาผู้สื่อข่าวได้สังเกตุเห็นเจ้าหน้าที่กรม คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้เดินทางมาร่วมหารือกับครอบครัวของน้องอลิส โดยการพูดคุยเจ้าหน้าที่ได้ปิดห้อง ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนหรือผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปรับฟัง

 

จากนั้นทีมข่าวได้สอบถาม นายปริญญา (พ่อข้องน้องอลิส) ถึงความรู้สึกในวันนี้โดยเผย กับทีมข่าวช่องแปดว่าตนมีความรู้สึกดีใจที่คุณกันจำพรได้ลงมาช่วยเหลือ ซึ่งก็อยากจะให้ช่วยในเรื่องของคดีให้มีความคืบหน้า อีกทั้งในประเด็นของสามครูอยากให้มีการเปลี่ยนครูเพราะตัวเองไม่มีความเชื่อมั่น ถึงแม้จะเปลี่ยนกล้องวงจรปิดและติดรั้วแต่ไม่เปลี่ยนคู่ตนก็ไม่กล้าส่งบุตรหลานมาเรียน

 

จากนั้น 15.00 น. ตำรวจและชุดพิสูจน์หลักฐานได้เดินทางมาตรวจสอบ ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้ออีกครั้ง เพื่อหาวัตถุต่างๆที่อาจ จะเชื่อมโยงการตายของน้อง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ชุดพิสูจน์หลักฐาน ได้เข้ามาตรวจสอบบริเวณโดยรอบศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ เนื่องจากประตูถูกปิดล็อก

 

วันนี้จึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ของ อบต.คอนกาม ในการขออนุญาตเปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ให้ชุดพิสูจน์หลักฐานเข้าไปเก็บวัตถุพยานด้านใน อย่างละเอียด

 

โดยจุดแรกคือบริเวณห้องน้ำ ที่อยู่ด้านในซ้ายมือ เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ของห้องน้ำตั้งแต่บริเวณประตู โถส้วม อ่างน้ำ ถังน้ำ และขันน้ำ พร้อมบันทึกภาพระดับความสูงของโถส้วมและอ่างน้ำ ที่มีขนาดความสูง 30 ซม. เพื่อนำไปพิสูจน์ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่เด็กจะเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุภายในห้องน้ำ ตามที่ครอบครัวและชาวบ้านตั้งข้อสงสัย 

 

จากนั้น ได้เข้าไปที่ห้องพยาบาล ด้านในขวามือสุด เพื่อหาวัตถุพยานที่อาจเกี่ยวข้องกับการตายของน้อง

 

ก่อนจะออกมาที่บริเวณด้านนอกซึ่งเป็นห้องครัว ก่อน เดินสำรวจและถ่ายรูป จากนั้นเดินมายังบริเวณด้านหลังของอาคารเพื่อวัดบ่อน้ำที่ไม่มีน้ำ ขนาดความสูง 50 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร

 

จากนั้น เดินมาวัดขนาดของอ่างล้างมือ ที่มีความสูง 50 ซม. เพื่อเป็นข้อมูล

 

ส่วนจุดสุดท้ายคือบริเวณลิ้นชัก หรือตู้ล็อกเกอร์ที่เก็บของใช้ส่วนตัวและอุปกรณ์การเรียนของน้อง โดยเจ้าหน้าที่ได้เก็บขวดนมเปล่า 1 ขวด ใปตรวจสอบหาความเชื่อมโยงต่อไป 

 

นอกจากนี้ พ่อแม่น้องอลิส ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่าหลังจากเจอขวดนม ตนมีความสงสัยว่า ให้นมน้องไป 2 ขวด คือ โอวัลติน 1 กล่อง และนมแดง 1 กล่องในวันเกิดเหตุ โดยได้ ขวดนมคืนมาเพียงขวดเดียว และอีกขวดที่พึ่งเจอวันนี้ แต่ไม่มีคราบของนมเลย ซึ่งนมโอวัลตินที่ให้ไปในวันนั้นก็หายไปอีกด้วย จึงอยากจะทราบ โอวัลตินหายไปได้อย่างไร

 

ขณะเดียวกันเรื่องของครูหนุ่ย ที่ใส่เสื้อสีชมพูในวันเกิดเหตุ วันนี้ทีมข่าวช่อง8 ได้เดินทางไปร่วมวงจกปลาร้ากับชาวบ้าน ซึ่งระหว่างที่ชาวบ้านนั่งกินข้าวกันอยู่ ทีมข่าวก็ถามย้อนกลับไปในวันเกิดเหตุอีกครั้งว่าสรุปแล้วเห็นอะไรกันบ้าง 

 

โดยนางสอดส่อง (นามสมมติ) เป็นชาวบ้านที่เข้าไปดูศพน้องอลิส บอกว่า วันที่เจอศพ ตัวป้าเอง ไปในที่เกิดเหตุจริง ซึ่งป้าก็เปรียบเสมือนนักข่าวประจำหมู่บ้าน เพราะรูปภาพที่สื่อเอาไปลงข่าวกัน ก็เป็นรูปที่ป้าถ่ายเองทั้งหมด ส่วนเรื่องที่ครูหนุ่ย ให้ข่าวว่าไม่ได้เดินออกจากศุนย์ไปดูศพน้องอลิส ยืนยันวันเกิดเหตุ ตอนที่เจ้าหน้าที่นำศพน้องอลิส มาที่ต้นตาล ตนเองและชาวบ้านเห็นครูหนุ่ย เดินลัดทุ่งนาเข้ามาดูศพ และก็มีเด็กบางคนเห็นครูหนุ่ย ใส่เสื้อสีชมพูซึ่งเป็นเสื้อชมพูลายหอมแดง ที่ทาง อบต.แจกให้เจ้าหน้าที่ของตำบลทุกคน 

 

อย่างไรก็ตามเรื่องที่เกิดขึ้น ที่ชาวบ้านบางคนไม่พูด เป็นเพราะว่าไม่อยากไปเป็นพยาน และตนเองก็เชื่อว่าคดีนี้ ตำรวจทำอะไรบรรดาครูไม่ได้หรอก เพราะครูบางคน ผ่านประสบการณ์ผ่านคดีมาแล้วโชกโชน นักข่าวไม่สังเกตกันบ้างหรอว่าทำไมครูบางคน ไม่ยอมไปให้การกับตำรวจและทำไมวันที่ไปให้การต้องไปกับทนาย ที่สำคัญครูคนนี้เงินเยอะ เป็นคนหยิ่ง ถ้านักข่าวไม่เชื่อไปถามคนแถวบ้านเขาได้เลย ไม่มีใคนชอบครูหนุ่ยสักคน ซึ่งทีมข่าวก็บอกกับนางสอดส่อง ไปว่า ถ้าผลชันสูตรพบน้ำประปาในปอด ยังไงตำรวจก็ต้องดำเนินคดีกับครู โดยนางสอดส่อง ก็บอกว่าดีแล้วจับไปให้หมด และถ้าย้อนกลับไปในวันเกิดเหตุได้ ถ้าตนเองเป็นตำรวจ ตนเองจะจับครูและแม่ครัวที่อยู่ในเหตุการณ์ขังเอาไว้ทุกคน เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวมันเป็นความรับผิดชอบของคนที่อยู่ในศูนย์พัฒนาฯ และถ้าตำรวจจับขังเอาไว้ มันต้องมีคนที่ทนไม่ได้และรับสารภาพกับตำรวจตั้งแต่วันแรกๆ

ขณะเดียวกันเมื่อวานนี้ที่ช่อง 8 เปิดภาพเสื้อสีชมพูที่ครูมีใส่ทุกคน วันนี้ทีมข่าวได้เดินทางไปพบกับผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับแจ้งว่าเด็กหายและก็เป็นคนที่เข้าไปดูศพน้องอลิส เป็นคนแรกๆ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านได้นำเสื้อสีชมพู ที่ทางตำบลแจกมาโชว์ให้นักข่าวดูว่าเสื้อตัวดังกล่าว เป็นเสื้อที่ได้รับแจกมาวันเดียวกันกับบรรดาครู 

 

โดยนายสัตติยา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 บอกว่า หากย้อนไปวันที่เจอศพ ยอมรับว่าจำไม่ได้ว่าใครทำอะไรและใครใส่เสื้อสีอะไร ส่วนประเด็นเรื่องที่ใครเป็นคนมาแจ้งว่าเด็กหาย ยืนยันว่าครูปูเป้ ไม่ได้เป็นคนวิ่งมาบอก แต่คนที่วิ่งมาแจ้งว่าเด็กหายคือนางนิ่มนวล แม่ครัว และตอนที่ผู้ใหญ่กำลังเดินไปตรงทุ่งนา คนที่วิ่งมาบอกว่าเห็นศพน้องอลิส คือครูปูเป้ ขณะเดียวกันประเด็นที่ครูน้อย ให้สัมภาษณ์ว่าตอนเห็นศพเข่าทรุดนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น ส่วนตัวผู้ใหญ่ไม่เห็นแต่ได้ยินเสียงคนร้องไห้กันระงมอยู่ในที่เกิดเหตุ ยืนยันวันเกิดเหตุไม่ได้สังเกตว่าครูใส่เสื้อสีอะไรกันบ้าง แต่ยืนยันได้ว่าเสื้อสีชมพูครูมีกันทุกคน

 

ทีมข่าวไปทราบข้อมูลจากชาวบ้านว่า นอกจากครู 3 คนและแม่ครัว ที่ทำงานอยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ ยังมีบุคคลกรอีก 1 คนที่ทำงานอยู่ด้วยก็คือนักการภารโรง 

 

ซึ่งวันนี้ทีมข่าวได้มีโอกาสไปเจอกับ นายนิกร อายุ 39 ปี เป็นนักการภารโรงคนดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนเองทำงานอยู่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อมาประมาณ 5 ปี ซึ่งที่ผ่านมาจะเข้าไปทำงานที่ศูนย์ฯ เฉพาะวันอังคารกับวันพฤหัสบดี โดยวันศุกร์ ที่ 14 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุตนเองไม่ได้ไปทำงาน และก็ไม่รู้ว่าเด็กหายตอนไหน มารู้เรื่องอีกทีก็ตอนที่เขามีการแจ้งว่าพบศพแล้ว

 

ส่วนประเด็นที่เคยเข้าไปทำงาน ยืนยันว่าเท่าที่เห็นครูทุกคนก็ดูแลเด็กเป็นอย่างดี ส่วนประเด็นการเข้านอนของเด็ก ยืนยันว่าก่อนที่ครูจะเอาเด็กเข้านอน ทางครูจะมีการแจกนมและแจกที่นอนให้กับเด็กพร้อมกับเช็คชื่อทุกคนก่อนเข้าให้เด็กๆเข้าไปนอน 

 

ส่วนประเด็นการรับเด็กออกจากศูนย์ฯ ทุกๆ วันหากผู้ปกครองเข้ามารับ ทางครูจะนำเด็กเดินมาส่งให้ผู้ปกครองตรงหน้าประตูทางเข้าศูนย์ฯ ส่วนประเด็นเรื่องที่ชาวบ้านแฉกับช่อง 8 ว่าครูเคยรับสารภาพว่าดูเด็กไม่ทั่วถึง เรื่องดังกล่าวยืนยันว่าไม่เคยเห็นครูปล่อยให้เด็กไปเล่นนอกศูนย์ตามลำพัง 

 

ส่วนประเด็นเรื่องเสื้อ ครูทุกคนต้องใส่เสื้อสีประจำแต่ละวันหรือไม่ เรื่องดังกล่าวตนเองไม่รู้ว่าครูบริหารจัดการกันยังไง เพราะตนเองมีหน้าที่แค่เข้าไปดูแลความเรียบร้อยเช่นตัดต้นไม้ กวาดใบไม้ และซ่อมแซมความเสียหายภายในศูนย์ 

 

ส่วนประเด็นเรื่องของห้องน้ำที่ช่อง 8 ถ่ายภาพมาเห็นโถส้วมทั้งสองฝั่ง ยอมรับว่าเคยเข้าไปทำเปลี่ยนก๊อกน้ำ ซึ่งอ่างน้ำที่เห็นทางฝั่งซ้ายยังใช้ได้ปกติ แต่อ่างน้ำฝั่งขวาที่มีถ้งน้ำวางอยู่ เป็นเพราะว่าอ่างน้ำฝั่งขวามันรั่วจึงต้องนำถังน้ำไปรองน้ำแทนที่จะปล่อยน้ำลงในอ่าง และก็จำไม่ได้ว่าอ่างดังกล่าวมันรั่วนานหรือยัง แต่ยืนยันได้ว่าห้องน้ำดังกล่าวครูและเด็กใช้ร่วมกัน ยืนยันที่ผ่านมาแม่ครัวไม่เคยอาบน้ำให้เด็ก และที่แม่ของน้องอลิส สงสัยว่าลูกจะสำลักน้ำตอนที่ครูล้างตัวให้ ยืนยันไม่เคยเข้าไปเห็นว่าครูล้างตัวหรืออาบน้ำให้เด็กกันยังไง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ตำรวจไม่ได้เรียกไปสอบปากคำ ก็เป็นเพราะว่าวันเกิดเหตุตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์

 

ขณะเดียวกันช่วงค่ำของวันนี้ทีมข่าวได้ไปเจอกับนางนิ่มนวล แม่ครัวที่บ้าน ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งจะกลับมาจากการไปเลี้ยงวัว โดยป้านิ่ม ยอมคุยกับทีมข่าว แต่ให้ถามคำถามที่ไม่กระทบกับรูปคดี ซึ่งทีมข่าวก็ถามป้านิ่มว่า ย้อนไปก่อนจะเกิดเหตุ เห็นครูคนไหนเดินออกไปจากศูนย์บ้างหรือไม่ ซึ่งป้านิ่ม ยืนยันกับทีมข่าวว่าครูอยู่ในศูนย์ไม่ได้ออกไปไหน ส่วนเรื่องครูหนุ่ย ไม่ต้องมาถาม อยากรู้อะไรก็ไปถามเขาเอง

 

ซึ่งทีมข่าวก็ถามว่าวันเกิดเหตุป้านิ่ม ใส่เสื้อสีอะไร ซึ่งป้านิ่ม ตอบว่าจำไม่ได้ว่าใส่เสื้อสีอะไรเพราะวันนั้นป้านิ่ม ตกใจจนจำอะไรไม่ได้ แต่จำได้ว่าตอนเด็กหายป้าเป็นคนวิ่งไปบอกกับผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยออกตามหาเด็ก ส่วนเรื่องอื่นไปต้องถามนะ เนื่องจากให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้ว ซึ่งตอนนี้ไม่ได้เครียดอะไรแล้ว

 

ด้านนางวิชิตา อายุ 49 ปี เป็นยายของน้องคิตตี้ และเป็นเพื่อสนิทกับนางนิ่มแม่ครัว บอกว่า ส่วนตัวเคยส่งลูกสาวและหลานไปเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เกิดเหตุ ซึ่งไทม์ไลน์การเรียน เท่าที่ตนรู้ หลังจากครูพาเด็กเคารพธงชาติเสร็จ ก็จะเข้าไปทำกิจกรรมภายในศูนย์ ซึ่งผู้ปกครองจะรู้ว่าทำอะไรบ้างก็ตอนที่ครูส่งรูปมาบอกในกลุ่มไลน์ ส่วนเสื้อผ้าที่หลานใส่ไปเรียน วันจันทร์จะใส่ชุดนักเรียน วันอังคารใส่ชุดพละ วันพุธใส่ชุดอะไรก็ได้ วันพฤหัสบดีใส่ชุดนักเรียน และวันศุกร์ใส่ชุดประจำศูนย์คือเสื้อเชิ้ตสีฟ้า

 

ส่วนวันเกิดเหตุในฐานะที่ตนเองไปเจอกับนางนิ่มนวลในที่เกิดเหตุ เท่าที่จำได้นางนิ่มนวล ใส่เสื้อสีเทามีผ้าขาวม้าพาดบ่า กางเกงสีดำ และใส่รองเท้าแตะแบบยาง และรองเท้าก็ไม่เปื้อนดิน ส่วนครูหนุ่ย ตนเองไม่เห็นว่าใส่เสื้อสีอะไรเพราะครูหนุ่ยเดินอยู่แต่ในศูนย์

 

ยืนยันคำพูดนางนิ่มนวล ที่พูดกับตนเองวันนั้น นางนิ่มนวล บอกแค่ว่าหลังเด็กกินข้าวครูก็ปล่อยให้เด็กเล่นและก็พาไปเข้านอน จากนั้นก็เกิดเหตุขึ้น ซึ่งหลังจากตำรวจนำศพน้องอลิส ไปโรงพยาบาล ประมาณ 6 โมงเย็นของวันเกิดเหตุ นางนิ่ม มีการย้อนกลับมาคุยกับพี่ชายตนเอง โดยบอกกับพี่ชายว่า มันพลาดไปแล้ว เสียใจมาก และเรื่องดังกล่าวก็ไม่น่าจะเกิด จากนั้นนางนิ่ม ก็บอกกับพี่ชายอีกว่า ทำไมคนที่ทำกับเด็กถึงไม่มาทำกับป้านิ่ม และคนๆนั้นทำไมไม่มาเอาตัวป้านิ่มไปแทนเด็ก

 

ขณะเดียวกันประเด็นเด็กเข้าห้องน้ำ วันนี้ทางคุณพลอย แม่ของน้องคิตตี้ ได้มีการถ่ายคลิปถามกับลูกตัวเองว่า ตอนที่เรียนอยู่ศูนย์พัฒนา เวลาเข้าห้องน้ำ ใครเป็นคนพาเข้า ซึ่งน้องคิตตี้ ตอบคุณพลอยว่า ถ้าครูน้อย ถามว่าปวดอึไหม หนูก็จะบอกว่าปวด และครูน้อยก็จะพาไปเข้าห้องน้ำ และเวลาหนูไปนั่งอึ ครูก็จะตามเข้าไปดู ซึ่งแม่พลอยก็ถามกับลูกอีกว่า เคยเข้าห้องน้ำคนเดียวไหม ซึ่งน้องคิตตี้ ตอบว่า ครูตามมาดูตลอด

 

ขณะเดียวกันประเด็นที่เด็กจะนั่งโถส้วมแบบเดียวกับที่ศูนย์เองได้หรือไม่ วันนี้ทีมข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของน้องปันปัน ซึ่งทางคุณแม่ได้มีการอุ้มลูกเข้าไปในห้องน้ำและพยายามให้น้องปันปันนั่งบนโถส้วม แต่ปรากฎว่าน้องปันปัน ไม่รู้ว่าตื่นกลัวคนเยอะหรือไม่กล้านั่งเอง ซึ่งภาพที่ทีมข่าวไปถ่าย น้องปันปัน พอนั่งลงไปก็ร้องไห้และต้องจับมือแม่ไว้ตลอดเวลา ซึ่งตามข้อมูลแม่บอกว่า ตัวน้องปันปันนั้น นั่งส้วมเองได้แต่ล้างก้นเองไม่ได้และทุกครั้งที่เข้าส้วม ก็จะให้แม่หรือย่าเข้าไปด้วยทุกครั้ง

 

ขณะเดียวกัน วันนี้ทีมข่าวได้ย้อนกลับไปถามกับนางทองทิพย์ อายุ 52 ปี ซึ่งเป็นย่าของน้องอลิส ว่าก่อนเกิดเหตุน้องอลิส มีผ้าอ้อมสำเร็จรูปกี่ชิ้นติดตัวไปเรียน ซึ่งทางย่าก็นำกระเป๋าของน้องอลิส ออกมาให้ทีมข่าวดูว่า ถ้าเป็นตัวย่าไปส่งน้องอลิสเอง ย่าจะใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้น้องอลิส ก่อนไปส่ง 1 ชิ้น และจะเอาผ้าอ้อมสำเร็จรูปอีกชิ้นใส่ไปในกระเป๋าพร้อมกับขวดนมและเสื้อผ้าอีก 1 ชุด

 

โดยนางทองทิพย์ ย่าของน้องอลิส บอกว่า ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่พบในที่เกิดเหตุ เป็นชิ้นที่ย่าใส่ติดตัวให้น้องอลิส ก่อนไปส่งเข้าศูนย์ ซึ่งที่ย่าแน่ใจว่าเป็นชิ้นเดียวกัน เนื่องจากตอนที่นำกระเป๋าน้องอลิส กลับมาบ้านหลังเกิดเหตุ ผ้าอ้อมสำเร็จรูปอีกชิ้นยังอยู่ในกระเป๋า ส่วนเรื่องการเข้าส้วมของน้องอลิส ย่ายืนยันว่าน้องอลิส ล้างก้นเองไม่ได้แต่นั่งส้วมได้ และตอนที่อยู่ศูนย์ย่าก็เชื่อว่าครูเป็นคนล้างก้นให้กับน้องอลิส

 

ช่วงเวลา 18:00 น. ทีมข่าวช่องแปดได้จำลองเหตุการณ์ ทดสอบจับเวลา โดยผู้สื่อข่าวอุ้มกระสอบ ซึ่งภายในกระสอบบรรจุ น้ำหนัก 14 กิโลกรัม เท่ากับน้ำหนักจริงของน้องอลิซ 

 

ทีมข่าวได้เริ่มจับเวลา ยืนบริเวณประตูด้านหลังอาคาร ข้างห้องน้ำที่ทางญาติมีการสงสัยว่าเด็กเสียชีวิตหรือไม่นั้น ซึ่งมีระยะห่างจากประตู 1 เมตร จากนั้นออกเดินไปยังจุดเกิดเหตุที่พบศพน้องอลิซ ในระยะทาง 600 เมตร 

 

ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้ทดสอบเดินอุ้มกระสอบไป เป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศฝนกำลังตก โดยพื้น บริเวณเส้นทางที่เดินผ่าน เป็น ลักษณะดินโคลนเนื่องจากโดนน้ำฝนจึงทำให้เส้นทางเละจึงทำให้ทีมข่าวเดินทางยาก และได้มีการหยุดพัก พักครั้งที่หนึ่งระยะ ห่างจากจุดเริ่มต้น โดยประมาณ 400 เมตร หลังจากนั้นเดินต่อไป จุดพักอีกประมาณ 500 เมตร และเดินต่อไปจนถึงจุดเกิดเหตุ และได้โยนวัตถุ น้ำหนัก 14 กิโลกรัม (เท่ากับน้ำหนักจริงของน้องอลิสถามข้อมูลจากญาติ) ซึ่งกระสอบมีลักษณะ หลังจากโดนน้ำมีการลอยตัว (วัสดุที่ใช้เป็นแหไม่ใช่เด็กจริงๆ)

 

โดยผลทดสอบการเดินทางไปกลับ ศูนย์เด็กเล็กถึงจุดพบศพ 

ขาไป : กึ่งเดินกึ่งวิ่ง แบกสัมภาระประมาณ 14 กิโลกรัม ใช้เวลา 10.36.11 นาที 

ขากลับ : กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ไม่มีสัมภาระ

เดินกลับ 7:12:15 นาที

รวมใช้เวลาไปกลับ 17.48 นาที

"กัน จอมพลัง" พิสูจน์เส้นทางตาย "น้องอลิส" ชี้คดีนี้มีพิรุธ ไม่เชื่อเดินไปตายเอง