กรณีวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี เดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุคนร้ายบุกเข้าไปใช้สายไฟชอร์ตทำร้ายร่างกาย นายผ่อง อายุ 88 ปี เจ้าของบ้าน เสียชีวิต โดยที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว ปลูกอยู่ในสวนปาล์มน้ำมันและยางพารา ห่างไกลจากชุมชน ภายในบ้านบริเวณห้องโถง พบผู้เสียชีวิตสภาพศพนอนหงายไม่สวมเสื้อ ใส่กางเกงขาสั้นสีเทา ตามลำตัวมีบาดแผลเป็นรอยช้ำจากการถูกไฟชอร์ต ส่วนที่ลำคอมีร่องรอยบาดแผลจากการถูกรัด ซึ่งฆาตรกรคือ นายประสิทธิ์ ลูกคนที่ 4 ของคนตาย แต่เบื้องต้นปฏิเสธข้อกล่าวหา นั้น




วันนี้ 29 พ.ค. 2567 เวลา 09.30 น. ตำรวจ สภ.เคียนซา คุมตัว นายประสิทธิ์ ผู้ต้องหาฆ่าบุพการี ไปฝากขังที่ศาลจังหวัดเวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมกับผู้ต้องหาในคดีอื่น ๆ โดยช่วงที่มีการคุมตัวนายประสิทธิ์ มาขึ้นรถทีมข่าวสอบถามนายประสิทธิ์ ว่าสรุปแล้วฆ่าพ่อของตัวเองจริงหรือไม่ ซึ่งวันนี้นายประสิทธิ์ยอมเปิดปากพูดกับนักข่าว ต่างจากวันก่อน ๆ ที่ไม่ยอมพูดอะไรเลย


โดยเจ้าตัวยืนยันว่า ตัวเองไม่ได้ฆ่าพ่อและกำลังตกเป็นแพะในคดีนี้ รวมถึงยืนยันไม่เกี่ยวข้องในคดีที่พี่สาวหรือลูกคนที่ 3 ถูกฆ่าเมื่อ 9 เดือนก่อนด้วย ส่วนเรื่องการพนันที่มีหลายคนกล่าวหา ยืนยันว่าเคยเล่นและติดพนัน แต่ปัจจุบันไม่ยุ่งเกี่ยวการพนันแล้ว




ส่วนการที่แม่ หรือนางเคลือบ ปรักปรำและให้การกับตำรวจ ยืนยันว่าตัวเองเป็นคนร้ายนั้น นายประสิทธิ์ บอกว่า แม่เป็นคนหลง ๆ ลืม ๆ อาจจะให้การมั่วก็ได้ พอถึงตอนจังหวะขึ้นรถคุมขัง นายประสิทธิ์ยังยกมือสาบาน และบอกว่า ขอให้สื่อทวงความเป็นธรรมให้เขาด้วย ยืนยันว่าเขาเป็นแพะ และถ้าหากวิญญาณพ่อมีจริง ขอให้มาเข้าฝันเพื่อจับตัวคนร้ายให้ได้ ถ้ายังจับไม่ได้ก็อาจจะมีศพต่อ ๆ ไปอีกแน่นอน




ทีมข่าวได้กล้องวงจรปิดมาเพิ่มเติม พบว่ากล้องตัวที่ 1 ก่อนเกิดเหตุ พบว่า เวลา 06.36 น. วันที่ 26 พ.ค. จับภรพนายผ่อง (ผู้เสียชีวิต) ใช้จอบขุดดินอยู่ที่หน้าบ้าน ก่อนที่จะเสียชีวิตในช่วงค่ำของวันเดียวกัน จากนั้นทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิด หน้าปากซอย อยู่ห่างบ้านนางฉิม ภรรยาคนก่อเหตุ 300 เมตร พบว่า กล้องตัวที่ 2 เวลา 10.41.45 น. นายประสิทธิ์ ขับรถเก๋ง กลับจากบ้านนายผ่อง (ผู้เสียชีวิต) เพื่อกลับเข้าบ้านของนางฉิม ซึ่งตรงกับคำให้สัมภาษณ์ของนางเคลือบ และนางฉิม ว่าผู้ก่อเหตุไปหาผู้ตายในช่วงเช้าของวันเกิดเหตุ




กล้องตัวที่ 3 เวลา 19.47 น. วันที่ 26 พ.ค. จับภาพรถเก๋งต้องสงสัย (รถประสิทธิ์) ขับออกจากซอยบ้านนางฉิม มุ่งหน้าถนนเซาท์เทิร์น ซีบอร์ด ซึ่งสามารถขับตรงไปหาจุดเกิดเหตุได้ในระยะทาง 26 กิโลเมตร โดยทีมข่าวยังทราบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาว่า กล้องวงจรปิดบ้านของนายผ่อง ผู้เสียชีวิต ถูกตัดในเวลา 20.01 น. ซึ่งก็เป็นเวลาใกล้เคียง หากรถเก๋งคันนี้จะขับไปจุดเกิดเหตุ ก็ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที




ส่วนกล้องตัวที่ 4 เวลา 20.46.05 น. วงจรปิดจับภาพรถเก๋งต้องสงสัยคันเดิม ขับเข้ามาในซอยบ้านของนางฉิม ซึ่งรวมระยะเวลาที่รถเก๋งขับออกไปตอน 19.47 น. แล้วขับเข้ามาตอน 20.46 น. เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงพอดี และกล้องวงจรปิดตัวที่ 5 เวลา 21.24.09 น. จับภาพรถเก๋งต้องสงสัยคันเดิม ขับวนเวียนแถวหน้าปากซอย แล้วจะมีวงจรปิดที่ทีมขาวได้มาเมื่อวานนี้ เวลา 21.40 น. เป็นเหตุการณ์ตอนที่รถเก๋งของนายประสิทธิ์ และนางฉิม ขับออกจากบ้านเพื่อไปจุดเกิดเหตุหลังจากทราบว่านายผ่องเสียชีวิต


โดยช่วงบ่ายวันนี้ มีพยานปากสำคัญในคดีที่ตำรวจเรียกมาสอบสวนเพิ่มเติม โดยนายหนุ่ม (นามสมมติ) พยานในคดีนี้บอกว่า คืนวันเกิดเหตุ 26 พ.ค. ตัวเองได้นั่งดื่มเหล้าอยู่หลังบ้านกับลูกชายและลูกน้อง รวมกัน 4 คน ซึ่งจะมองเห็นทางเข้า-ออกบ้านของนางฉิม ภรรยาคนก่อเหตุชัดเจน จากนั้นช่วงเวลาเกือบ 2 ทุ่ม (สอดคล้องกับวงจรปิดที่ทีมข่าวได้มา) เห็นนายประสิทธิ์ขับรถเก๋งสีบรอนซ์ออกจากบ้าน จนผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง รถเก๋งคันเดิมก็กลับเข้ามา แล้วไปจอดที่บ้านของนางฉิมเหมือนเดิม




ตัวเองจึงมั่นใจว่าเป็นรถของนายประสิทธิ์แน่นอน เพราะจุดสังเกตจะมีโลโก้ ยี่ห้อโตโยต้าติดอยู่ข้างรถทั้งสองฝั่ง และรอบสุดท้ายตัวเองเห็นรถเก๋งของนายประสิทธิ์ขับออกจากบ้านด้วยความเร็ว ในช่วงเวลาประมาณเกือบสี่ทุ่ม โดยขับด้วยความเร็ว คาดว่าตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่เขาทราบข่าว แล้วกำลังขับไปจุดเกิดเหตุ แต่ขณะเดียวกัน นางฉิมกลับให้สัมภาษณ์นักข่าวว่าไม่รู้สามีออกจากบ้านไปตอนไหน หรือออกบ้านไปหรือไม่ แต่ส่วนตัวยืนยันว่านายประสิทธิ์ออกจากบ้านในคืนวันเกิดเหตุแน่นอน ซึ่งระยะทางประมาณ 26 กิโลเมตร จากบ้านของนางฉิมไปบ้านที่เกิดเหตุ น่าจะใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น


โดยในมุมของญาติเชื่อว่านางฉิมไม่ได้พูดความจริงกับนักข่าว และพยายามปกป้องนายประสิทธิ์ เพราะเขารักนายประสิทธิ์มาก เพราะที่ผ่านมาหลังจากที่ทั้งคู่คบหากัน ญาติของนางฉิมทุกคนต่างไม่ค่อยปลื้มนายประสิทธิ์เพราะนิสัยส่วนตัวมักเป็นคนชอบติดการพนัน โดยเฉพาะไพ่ แต่หลังจากที่ลูกคนที่ 3 ซึ่งเป็นพี่สาวของนายประสิทธิ์ตายไปเพราะถูกฆ่า เจ้าตัวก็เลิกเล่นไพ่แล้วหันมาเล่นพนันบอลแทน


อีกอย่างนิสัยส่วนตัวของนายประสิทธิ์ คือเป็นคนคอยจัดแจงทรัพย์สิน ล่าสุดประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นายประสิทธิ์เพิ่งจะเอาที่ดินของนางฉิมประมาณ 4 ไร่ ไปขายกับญาติ ได้เงินมาประมาณ 5 แสนบาท แต่ไม่รู้ว่าเงินไปอยู่ที่ใคร ญาติทุกคนก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก




ส่วนนางฉิม ไม่ว่าจะสามีคนไหนก็จะรักมาก ๆ ซึ่งนายประสิทธิ์นับเป็นสามีคนที่ 5 และตัวเองมีข้อมูลสำคัญคือในคืนวันเกิดเหตุ หลังจากที่นายประสิทธิ์กลับเข้าบ้านมา ก็ได้มาบอกกับนางฉิมเองว่า “ฆ่าพ่อตายแล้วนะ” ซึ่งข้อมูลนี้ นางฉิมเป็นคนเปิดใจกับญาติเอง ก่อนที่จะไปบอกตำรวจคนหนึ่งที่อยู่ใกล้บ้าน แต่ไม่ได้มีการพูดความจริงกับนักข่าวเท่านั้น


ตอนนี้ ญาติทุกคนกลัวว่านางฉิมจะติดรากแหและถูกดำเนินคดีไปด้วย จึงพยายามบอกให้นางฉิมพูดความจริงทั้งหมด และญาติของนางฉิมทุกคนก็ต่างเชื่อกันว่ากรณีของนางสะอ้านพี่สาวของนายประสิทธิ์ ที่ถูกฆ่าตายนั้น นายประสิทธิ์ก็อาจจะมีความเกี่ยวข้อง


นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้มาตรวจสอบรถยนต์เก๋งของนายประสิทธิ์ ที่จอดอยู่หน้าโรงพัก พบว่า เป็นรถโตโยต้า สีบอร์นทอง ด้านข้างรถทั้งสองจะติดสติกเกอร์คำว่า “TOYOTA” เป็นจุดสำคัญ ที่ทำให้พยานจดจำได้




ล่าสุดทีมข่าวเดินทางมาพูดคุยกับ นางฉิม ภรรยาคนปัจจุบันของนายประสิทธิ์ ผู้ก่อเหตุ เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าวันที่ 26 พฤษภาคม เวลาประมาณ 11.00 น. สามีขับรถเก๋งกลับมาบ้าน หลังไปกรีดยางและเอากระท้อนแถวบ้านที่เกิดเหตุ (ห่างจากบ้าน 26 กิโลเมตร) โดยตอนที่กลับมาถึงบ้าน สามีเอาผักกับกระท้อนมา เพราะตัวเองสั่งให้แวะซื้อผักมาทำกับข้าวด้วย


ตอนที่อยู่บ้านก็กินข้าว อาบน้ำ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน จนกระทั่งประมาณ 20.00 น. ตัวเองเข้าห้องนอนและนอนหลับไป ส่วนสามีนอนดูบอลอยู่หน้าทีวีบริเวณห้องโถง ตัวเองก็เลยไม่รู้ว่าสามีออกไปไหนระหว่างนั้นบ้าง ไม่ได้ยินเสียงรถขับเข้า-ออกด้วย แต่จำได้ว่าบางช่วงที่กึ่งหลับกึ่งตื่น ยังได้ยินเสียงทีวีและเสียงคลิปใน TikTok ในโทรศัพท์ดังอยู่ตลอด เพียงแต่ไม่ได้ออกมาดูว่ามีคนอยู่หรือเปล่า


จากนั้นประมาณหลัง 3 ทุ่ม แต่จำเวลาแน่นอนไม่ได้ ลูกสาวคนเล็กของสามีก็โทรศัพท์เข้ามา บอกว่า “นายผ่อง” เสียชีวิต สามีก็เข้ามาเรียกตัวเอง ตอนนั้นสามีก็ร้องไห้ตั้งแต่รู้เรื่องที่บ้าน ก่อนจะพากันขับรถเก๋งออกไปทันที ซึ่งนางฉิม ยืนยันภายหลังว่าตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงทราบเรื่องการตาย ไม่มีใครขับรถออกจากบ้านของตัวเอง ดังนั้นภาพวงจรปิดที่เห็นว่ามีรถเก๋งขับออกไปตอน 21.40 น. น่าจะเป็นตนกับนายประสิทธิ์ที่พาไปกันไปจุดเกิดเหตุ แต่เมื่อเราถามว่าไปถึงประมาณกี่โมง นางฉิมบอกว่า ถึงประมาณเกือบ 23.00 น. ทั้ง ๆ ที่ระยะทางแค่ 26 กม.


และตลอดระยะเวลา 2 ปีที่คบหากัน ตัวเองไม่เคยเห็นว่าสามีจะทะเลาะกับพ่อแม่ หรือมีอารมณ์โมโหกับคนในครอบครัว ส่วนเรื่องเงิน สามีก็มีแค่หนี้เงินกู้สหกรณ์การประปาฯ ประมาณ 2 หมื่นบาท เขาก็จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือนละ 500 บาท และจ่ายค่าเทอมให้ลูกสาวคนเล็ก แต่ไม่มีหนี้หรือภาระอื่น ๆ ที่ต้องรับผิดชอบอีกแล้ว ตัวเองก็ไม่ได้ขอเงินจากสามีมาใช้จ่ายในส่วนไหน




ส่วนรอยแผลที่แขนของสามีนั้น ตัวเองก็ยืนยันไม่ได้ว่าเป็นรอยอะไรกันแน่ แต่ตอนเย็นของวันที่ 26 พ.ค. สามีบอกว่าในสวนทุเรียนข้างบ้านยุงเยอะมาก แล้วก็เดินเกาแขนมาเรื่อย ๆ ตนยังคุยกับสามีอยู่เลยว่า “ทำไมไม่จุดยากันยุง เหมือนทุกวัน” และผ้าขาวม้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจได้เมื่อวานนี้ เจ้าตัวบอกว่าเดิมทีมันอยู่ในกระสอบที่สามีใส่อุปกรณ์ช็อตไฟฟ้าสำหรับชอร์ตปลา ซึ่งตำรวจมาเอาไปตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. แต่วันนั้นตำรวจเอาไปแค่ที่ชอร์ตไฟฟ้า แล้วหยิบผ้ามาวางไว้ตรงเก้าอี้หน้าบ้าน แต่อย่างหนึ่งที่ตัวเองยืนยันได้คือกระสอบที่ใส่เครื่องชอร์ตไฟฟ้า ซึ่งวางอยู่ข้างบ้านประมาณ 2 เดือน หลังจากสามีไปเอาใช้ที่บ่อแถวบ้านเกิดเหตุ แล้วตอนที่ตำรวจเข้ามาตรวจค้น มันก็ยังวางอยู่ในตำแหน่งเดิม ส่วนหมวกโม่งไหมพรมก็ยอมรับว่าสีน้ำเงินเป็นของสามี ส่วนสีม่วงอ่อนเป็นของจริง แขวนไว้ที่เสาหน้าบ้านตั้งแต่ปีที่แล้ว


ทั้งนี้เมื่อทีมข่าวถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เชื่อหรือไม่ว่า “นายประสิทธิ์” เป็นคนฆ่าพ่อของเขาเอง ? เจ้าตัวก็ตอบทั้งน้ำตา ว่าถ้าประเมินจากนิสัยใจคอที่อยู่ด้วยกัน ก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถทำได้ เพราะเขาเป็นคนดี ไม่โกหก ยิ่งพอรู้ว่าแม่ของเขาเป็นประจักษ์พยานและสันนิษฐานว่าปมในการฆ่ามาจากเรื่องที่นายประสิทธิ์ต้องการมรดกนั้น ตัวเองก็ยิ่งรู้สึกสับสนเหมือนกัน เนื่องจากสามีไม่เคยพูดเรื่องเหล่านั้นให้ฟัง และตัวเองคิดว่า นายเคลือบ แม่ยายตัวเองที่เป็นประจักษ์พยาน เขาอาจจำคลาดเคลื่อนหรือไม่ ดังนั้นตนก็เชื่อว่าที่สามีบอกกับสื่อว่ากำลังตกเป็นแพะรับบาป ก็คงน่าจะเป็นความรู้สึกของเขาจริง ๆ เพราะด้วยนิสัยของเขา หากไม่ผิดก็จะสู้จนหลังชนฝา

 

ตะโกนลั่น! "ผมเป็นแพะ" ลูกคนที่ 4 พลิกลิ้นโต้ฆาตกรรมพ่อ วงจรปิดมัดงานนี้มีคนโกหก