กรณีวันที่ 27 พ.ค.2567 พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.จว.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วย พ.ต.อ.ปริญญา ตัณฑสุวรรณ ผกก.สส.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี, พ.ต.อ.อานุภาพ จันดิถวงค์ ผกก.สภ.เคียนซา เดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุคนร้ายบุกเข้าไปใช้สายไฟชอร์ตทำร้ายร่างกาย นายผ่อง อายุ 88 ปี เจ้าของบ้าน เสียชีวิต

 

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว ปลูกอยู่ในสวนปาล์มน้ำมันและยางพารา ห่างไกลจากชุมชน ภายในบ้านบริเวณห้องโถง พบผู้เสียชีวิตชื่อ นายผ่อง เจ้าของบ้าน สภาพศพนอนหงายไม่สวมเสื้อ ใส่กางเกงขาสั้นสีเทา ตามลำตัวมีบาดแผลเป็นรอยช้ำจากการถูกไฟชอร์ต ส่วนที่ลำคอมีร่องรอยบาดแผลจากการถูกรัด

 

กระทั่งเมื่อคืนที่ผ่านมา ตำรวจได้นำหลักฐาน ไปขออนุมัติศาลออกหมายจับนายประสิทธิ์ ลูกชายคนที่ 4 ของผู้เสียชีวิต ในข้อหาฆ่าบุพการีโดยเจตนา และบุกรุกเคหะสถานยามวิการ โดยตำรวจมีพยานหลักฐานบางอย่างที่ยังไม่สามารถเปิดเผยให้ผู้สื่อข่าวได้รับทราบ แต่ก็จะมีข้อมูลจากคำให้การของพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ (เมียคนตาย) จนเป็นประโยชน์กระทั่งนำไปสู่การออกหมายจับครั้งนี้ด้วย

 

วันนี้ 28 พ.ค.2567 ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่มายัง สภ.เคียนซา ซึ่งเวลา 11.00 น.วันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้คุมตัวนายประสิทธิ์ (ผู้ต้องหา) และเป็นลูกชายคนที่ 4 ของผู้เสียชีวิต ออกจากห้องขัง เพื่อมาสอบปากคำ ซึ่งจังหวะนี้ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายประสิทธิ์ว่าได้ก่อเหตุฆ่าพ่อจริงหรือไม่ เจ้าตัวก็ส่ายหัวตอบกลับ , และเมื่อถามว่ากรณีการตายของนางสาวสอ้าน พี่สาว ได้เกี่ยวข้องหรือไม่ เจ้าตัวก็ส่ายหัวเหมือนเดิม จากนั้นผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงอุปกรณ์ชอร์ตปลา ที่ตำรวจตรวจยึดมา ว่าเอามาทำไร ได้เกี่ยวข้องหรือไม่ เจ้าตัวก็ตอบส่ายหัวหน้าเช่นเดียวกัน

 

ก่อนที่ตำรวจจะพาผู้ต้องหาไปสอบสวนในห้องกับพนักงานสอบสวนต่อไป โดยคาดว่าตำรวจน่าจะมีการสอบปากคำผู้ต้องหาหลายชั่วโมง เพราะจะมีการสอบปากคำถึงการตายของนายผ่อง ผู้เสียชีวิตรายล่าสุด และรวมถึงคดีการตายของนางสาวสอ้าน พี่สาวของผู้ก่อเหตุ ที่เสียชีวิตเมื่อเดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา และยังจับคนร้ายไม่ได้

  

จากนั้นเวลา 14.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาเชิญตัว “นางฉิม” (สงวนชื่อ-นามสกุลจริง) เมียคนปัจจุบันของ “นายประสิทธิ์” ผู้ก่อเหตุ ไปสอบปากคำ พร้อมกับได้ทำการตรวจยึดหลักฐาน 2 ชิ้นไปตรวจสอบด้วย คือผ้าขาวม้า 1 ผืนที่วางอยู่ตรงเก้าอี้หน้าบ้าน กับหมวกไหมพรม 2 ใบที่แขวนอยู่ตรงเสาหน้าบ้าน โดยทราบว่าใบสีน้ำเงินเป็นของ “นายประสิทธิ์” และใบส่งม่วงอ่อนเป็นของ “นางฉิม” โดยที่ตำรวจต้องมาขอตรวจสอบผ้าขาวม้าเนื่องจากว่าเมื่อวานนี้นางเคลือบ ภรรยาของผู้ตาย และเป็นแม่ของผู้ก่อเหตุ ให้การว่า เห็นคนร้ายสวมหมวกโม่ง และผ้าขาวม้า ขณะมาก่อเหตุ

 

และระหว่างที่เจ้าหน้าที่สอบถามกับ “นางฉิม“ เกี่ยวกับของ 2 อย่างนั้น เจ้าตัวบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าผ้าขาวม้าผืนนี้เกี่ยวข้องอะไรไหม เพราะเพิ่งสังเกตเห็นว่าถูกวางไว้ตรงนี้เมื่อวาน ส่วนกับการที่เกิดขึ้นเจ้าตัวบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะแฟนไม่ได้มาปรึกษา และเมื่อถามว่า ถ้าสามีทำจริงจะเสียใจไหม? เจ้าตัวก็พยักหน้ารับ แต่เมื่อถามว่าสามีมีปัญหาเรื่องเงินอะไรไหม? เจ้าตัวก็ส่ายหน้าตอบ

 

และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวไปถึงห้องสืบสวน สภ.เคียนซา ทีมข่าวก็ได้สอบถามกับ “นางฉิม” อีกรอบ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เจ้าตัวกลับไม่ตอบอะไร บอกเพียงแค่ว่า “ขอคุยกับเจ้าหน้าที่ก่อนนะคะ เพราะไม่ทราบอะไร“ และเมื่อถามว่าในคืนเกิดเหตุได้นอนอยู่กับสามีไหม? เจ้าตัวก็ส่ายหน้า ว่าคืนเกิดเหตุ ตัวเองไม่ได้นอนกับสามี หลังตัวเองเข้านอน ก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย

 

ทีมข่าวได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณปากซอยบ้าน “นางฉิม” ที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 26 กม. พบว่าวันที่ 26 พฤษภาคม 2567 เวลา 21.40 น. จะเห็นว่ามีรถเก๋ง 1 คันขับออกจากซอยบ้าน “นางฉิม” ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรถของ “นายประสิทธิ์” เพราะจากการสอบถามคนภายในซอย ยืนยันว่าตรงนี้มีแค่ “นายประสิทธิ์” คนเดียวที่มีรถเก๋ง แต่เหตุการณ์ในกล้องนี้ จากการสอบถามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่มีการยืนยันว่ารถคันดังกล่าวมุ่งหน้าไปไหน เพราะจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่า “นายประสิทธิ์” ใช้เส้นทางสำรองเพื่อหลบกล้อง

 

เวลา 17.30 พนักงานสอบสวนเชิญตัวนางเคลือบ (เมียผู้ตาย) มาสอบปากคำเพิ่มเติม โดยมีนางสาวอุบล ลูกสาวคนสุดท้อง มาร่วมให้ปากคำด้วย

 

นางเคลือบ บอกกับทีมข่าวว่า ตอนแรกเสียใจที่สามีถูกฆ่าตาย ด้วยน้ำมือของลูกชายแท้ๆ แต่ตอนนี้ไม่เสียใจแล้วเพราะลูกชายที่เป็นคนลงมือฆ่า ถูกตำรวจออกหมายจับแล้ว

 

ซึ่งการที่ตำรวจออกหมายจับนายประสิทธิ์ ลูกชายคนที่ 4 ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่ตัวเองคาดการณ์ และให้การกับเจ้าหน้าที่ไปก่อนหน้านี้ เพราะขณะเกิดเหตุ ต่อให้ไฟดับและมืดมาก ตัวเองก็จำใบหน้าและรูปพรรณสัณฐานของนายประสิทธิ์ลูกชายได้แม่น เนื่องจากไม่ได้มีอะไรปกปิดใบหน้า นอกจากหมวกและผ้าขาวม้า 1 ผืน

 

แม้ตัวเองจะอายุ 87 ปีแล้ว แต่สายตาตัวเองดีมากๆ จึงมั่นใจ 100% ว่าเป็นนายประสิทธิ์ พร้อมกับบอกว่าทันทีที่เห็นลูกชาย พังประตูเข้ามาในบ้านรู้สึกตกใจแต่ก็คุมสติตัวเองได้เพราะเป็นคนใจแข็ง

 

ซึ่งในความเป็นแม่ ก็ยินดี ยกโทษและอโหสิกรรมให้ลูกชาย แต่ในทางคดี หากมีญาติหรือลูกหลานคนไหนจะมายื่นประจำตัวนายประสิทธิ์ ก็ขอคัดค้านเพราะหวั่นว่าจะเป็นอันตรายต่อคนในครอบครัวที่เหลืออยู่

 

และยังเชื่ออีกว่านายประสิทธิ์น่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่ฆ่าลูกสาวคนที่ 3 คือนางสอ้าน เมื่อกันยายนปีที่แล้ว

 

ส่วนปมเหตุก็น่าจะหนีไม่พ้นเรื่องของสมบัติ แม้ว่าเธอกับสามีจะแบ่งมรดกให้กับลูกทั้ง 7 คนไปแล้ว คนละ 10 ไร่ แต่ยังเหลืออีก 30 ไร่ที่ยังวางแผนจะแบ่งให้ใคร ก็เลยเชื่อว่านายประสิทธิ์อยากได้ที่ดินส่วนนี้ แต่ก็ไม่เข้าใจในความคิดเพราะถ้าหากเธอกับสามีตายไป นายประสิทธิ์ก็ไม่ได้ที่ดินส่วนนี้

 

ซึ่งเดิมทีนายประสิทธิ์ก็เป็นคนเกเรมาตั้งแต่เด็ก มาโดยตลอดซึ่งเธอกับสามีเองก็ไม่เคยไว้ใจและระวังตัวเองไว้ตลอด

 

นางเคลือบยังบอกอีกว่า ช่วงเช้าของวันที่ 26 พฤษภาคม นายประสิทธิ์ขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาที่บ้าน และได้เจอกับเธอ และบอกเธอว่าเพิ่งจะกรีดยางเสร็จ และจะไปเก็บกระท้อนมากิน แต่เธอก็ไม่เชื่อ และคิดว่าน่าจะมาดูลาดเลา เพราะดูจากสีหน้า สายตาดูโหดร้าย และมีพิรุธ

 

ส่วนเครื่องชอร์ตไฟฟ้าที่ตำรวจยึดมาได้ เธอก็จำได้ว่า เป็นเครื่องชอร์ตไฟฟ้าลักษณะเดียวกับที่คนร้ายถือเข้ามาในคืนวันก่อเหตุ เพียงแต่อาจจะเป็นคนละสี โดยที่เธอเห็นคนร้ายถือนั้นมีลักษณะเป็นสีขาวสะท้อนแสง แต่ที่นำมาดูเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าสีดำ

 

สุดท้ายเมื่อถามถึงความรู้สึกแม่ต่อลูกชาย เธอก็บอกทิ้งท้ายว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับลูกชายคนนี้แล้ว

 

ทีมข่าวช่อง 8 ได้จำลองเหตุการณ์ โดยจุดแรกที่ติดข่าวจำลองเหตุการณ์คือบริเวณหน้าบ้านของผู้เสียชีวิต ซึ่งจากการจำลองจะเห็นผู้ก่อเหตุพยายามที่จะเข้าไปก่อเหตุจากประตูหน้าบ้าน พอยายเคลือบเห็นคนร้ายเข้าไปก่อเหตุ จึงชิงจังหวะหนีออกทางประตูข้างบ้าน

 

จากนั้น ใหญ่เคลือบได้มาซ่อนตัวอยู่ใต้แคร่ไม้ที่มีความสูงประมาณ 50 เซนติเมตร โดยหลบซ่อนตัวในจุดดังกล่าวประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งตอนนั้นเห็นคนร้ายมาส่องไฟบริเวณหน้าบ้าน แต่คนร้ายไม่เจอตัวกับยายเคลือบที่ซ่อนตัวอยู่ เมื่อยายเคลือบเห็นคนร้ายเดินไปที่บริเวณ อีกฝั่งของบ้าน ยายเคลือบจึงคลานออกมาจากใต้แคร่ไม้ แล้วก็หลบหนีเข้าไปในสวนปาล์มที่อยู่ตรงข้ามบ้านซึ่งมีความมืด จนสามารถไปขอความช่วยเหลือที่บ้านของหลานชาย และปลอดภัยในที่สุด

ด้านนางเชอรี่ และนางแจ๋ว (นามสมมติ) หลานสาวของผู้เสียชีวิตให้สัมภาษณ์ว่า พวกตัวเองรู้สึกตกใจมากที่หมายจับไปออกนายประสิทธิ์ลูกชายคนที่สี่ของผู้เสียชีวิต แต่ยอมรับว่าพวกตัวเองก็มีการสงสัยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะว่าหลังจากเกิดเหตุนายประสิทธิ์ได้มาถึงจุดเกิดเหตุเวลาประมาณห้าทุ่มกว่า พอจอดรถได้ก็ลงจากรถมาโวยวายด่าตำรวจว่า ถ้ามาขอสอบสวนจะไม่ให้ปากคำแล้วนะ เพราะครั้งที่แล้วพี่สาวเสียชีวิตก็ยังจับคนร้ายไม่ได้ ตำรวจกินภาษีประชาชนไปเปล่าเปล่า ไม่ต้องมาสอบสวนผมแล้วผมไม่ให้ปากคำแต่อย่างใด

 

ซึ่งพวกตัวเองก็ยังรู้สึกงงว่าทำไมนายประสิทธิ์ต้องโวยวายถึงขนาดนี้ จากนั้นนายประสิทธิ์ก็พยายาม เข้าไปยืนดูศพของคุณพ่อของเขา แล้วมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสังเกตไปเห็นแผลที่มือด้านซ้ายของนายประสิทธิ์ ตำรวจก็เลยถามเขาว่าแผลนี้เกิดจากอะไร เขาก็บอกกับตำรวจว่า “แผลยุงกัด” แต่ตำรวจก็ไม่ได้ปักใจเชื่อจึงมีการเชิญตัวนายประสิทธิ์ไปสอบปากคำตั้งแต่คืนนั้น พร้อมกับมีการตรวจเอเอในที่เกิดเหตุอีกด้วย

 

แล้วตัวเองก็คิดว่านายประสิทธิ์น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของนางสอ้าน ที่เสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว เพราะว่าเขาเป็นคนที่มาเจอศพคนแรกแรกหลังจากที่หลานพิการมาเจอ แล้วเค้าก็อยู่กับศพ

 

และนายประสิทธิ์ก็รู้แผนผังภายในบ้านว่าแต่ละห้องมีอะไรบ้าง รวมถึงรู้ความเคลื่อนไหวของคนในบ้านหลังดังกล่าวอีกด้วย

 

ตัวเองอยากให้ตำรวจตำรวจดำเนินคดีกับนายประสิทธิ์ถึงที่สุดถึงแม้ว่าเขาจะเป็นญาติกับตัวเองก็ตาม เพราะว่ากลัวว่าหากเขาได้รับการประกันตัวออกมาเค้าจะมาก่อเหตุกับญาติพี่น้องอีก

 

ขณะนางสาวเพลง (นามสมมติ) ลูกสาวคนเล็กของนายประสิทธิ์ ผู้ก่อเหตุ (ลูกติดภรรยาเก่า) วันนี้ก็ได้เดินทางมาเยี่ยมพ่อที่โรง พัก ซึ่งเจ้าตัวเปิดเผยสั้นสั้นกับผู้สื่อข่าวว่า สำหรับเรื่องราวของคืนวันเกิดเหตุตัวเองไม่รู้เห็นเหตุการณ์เนื่องจากอาศัยอยู่คนละที่กับพ่อ แต่พ่อก็มีบ้านอยู่อีกหลังกับภรรยาคนใหม่แล้ว แต่เท่าที่สัมผัสกับพ่อก็เชื่อว่าพ่อน่าจะไม่ได้ไปก่อเหตุดังกล่าว

 

ด้านนางสาวมะปราง (นามสมมติ) ลูกสาวคนโตของผู้ก่อเหตุ (ลูกติดภรรยาเก่า) ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า สำหรับนายประสิทธิ์พ่อของของตัวเอง เขาได้เลิกรากับแม่แล้วไปมีภรรยาใหม่ ซึ่งอยู่บ้านห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 20 กิโลเมตร หากถามว่า ตัวเองเชื่อหรือไม่ว่าพ่อไปก่อเหตุ ตัวเองก็ไม่เชื่อเพราะที่ผ่านมาพ่อไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับคุณปู่ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิต และพ่อก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงิน จะมีภาระที่ต้องแบกรับก็คือยังต้องส่งเสียน้องสาวให้จบมหาวิทยาลัย ซึ่งตอนนี้นางสาวเพลงสาวตัวเองเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่แล้ว

 

ส่วนเรื่องการพนันก็ยอมรับว่าตอนที่พ่อยังคบหากับแม่ตัวเองอยู่หลายปีที่ผ่านมา พ่อก็เคยมีเรื่องเล่นการพนัน แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าพ่อเช่นการพนันถึงขนาดไหน และตอนนี้พ่อก็ไม่มีหนี้สินอะไรอีกด้วย ส่วนเรื่องมรดกของคุณปู่และคุณย่า ก็ทราบมาว่าคุณปู่ได้แบ่งมรดกให้ลูกทั้งเจ็ดคนเป็นที่ดินจำนวนคนละ 10 ไร่เท่ากันแล้ว ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนี้

 

ส่วนเรื่องเงินฌาปนกิจที่พ่อจะต้องได้รับหากคุณปู่เสียชีวิต ตัวเองก็ไม่รู้รายละเอียดเรื่องนี้

 

กรณีที่ตำรวจไปตรวจยึดเครื่องชอร์ตไฟฟ้าของคุณพ่อมาจากที่บ้านนั้น ตัวเองก็ไม่รู้เรื่อง และไม่รู้ว่าพ่อมีเครื่องชอร์ตไฟฟ้าหรือไม่ แต่ยอมรับว่าพ่อเป็นคนชอบหาปลา

 

ครั้งสุดท้ายที่ตนเจอพ่อคือช่วงประมาณ 5 ทุ่ม-เที่ยงคืน รอยต่อ 25-26 พฤษภาคม 2567 เพราะพ่อขับรถเก๋งสีบรอนซ์ทองรุ่นเก่า มาที่บ้านของตนเพียงลำพัง ซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกับจุดเกิดเหตุ แล้วก็ขี่รถ จยย. ออกไปที่สวนยางพารา ห่างจากจุดเกิดเหตุ 2 กม. จากนั้นตอนเช้าวันที่ 26 พฤษภาคม 2567 ประมาณ 9-10 โมงเช้า พ่อขี่รถ จยย. กลับมาบ้านตน แล้วน้องสาวหรือ “นางสาวเพลง“ เห็นว่าพ่อเอาบิลค่าน้ำยางมาเก็บและขับรถเก๋งกลับบ้านที่ ต.เขาตอก อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี และหลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย จนกระทั่งไปเจอกันครั้งสุดท้ายหลังจากที่คุณปู่เสียชีวิตแล้ว ซึ่งตัวเองไปเจอพ่ออยู่ที่บ้านหลังเกิดเหตุแต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกัน

 

ถามว่าพ่อรู้ได้ไงว่าคุณปู่เสียชีวิต นางสาวมะปรางได้บอกกับทีมข่าวว่า หลังจากเกิดเหตุพวกตัวเองพากันทราบข่าวจากญาติญาติ กระทั่งนางสาวเพลงสาวตัวเองได้โทรศัพท์ไปบอกพ่อ จึงพากันไปที่จุดเกิดเหตุ

 

ส่วนกรณีการตายของป้าสอ้านพี่สาวของพ่อ ที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้ ยอมรับว่าพ่อก็เคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยจากกลุ่มญาติมาแล้ว

ลูกคนที่ 4 ฆ่าโหดพ่อชิงมรดก แม่เล่านาทีชีวิตถูกส่องไฟตามฆ่า