กรณีเมื่อคืนที่ผ่านมา วันที่ 26 พ.ค. 67 ตำรวจสภ.เมืองนนทบุรี ได้รับแจ้งเหตุมีถูกแทงผู้เสียชีวิต 1 ราย ภายในคอนโดแห่งหนึ่ง หลังกระทรวงสาธารณสุข ต.บางเขน อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ที่เกิดเหตุเป็นคอนโดสูง 8 ชั้น ภายในห้อง ชั้น 6 บริเวณห้องครัว พบศพชายเสียชีวิต 1 ราย อายุประมาณ 54 ปี สภาพศพนอนหงายเสียชีวิต ถูกปิดทับด้วยหมอน ผ้าห่ม จำนวนมาก สวมเสื้อยืด ใส่กางเกงขาสั้น พบบาดแผลถูกแทงด้วยของมีคมบริเวณคอ และตามร่างกายหลายแห่ง ประมาณ 10 กว่าแผล นอนจมกองเลือดอยู่ ตรวจสอบภายในห้องคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 4-5 วัน และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ทราบชื่อคนตายในเวลาต่อมาคือ นายไพศาล และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม พบว่าคนตายเข้าไปภายในคอนโดครั้งสุดท้ายวันที่ 20 พ.ค. เวลาประมาณ 22.26 น. โดยเป็นภาพวงจรปิดสุดท้ายที่จะจับภาพคนตายเอาไว้ได้ก่อนที่จะพบเป็นศพ และกล้องวงจรปิดยังพบว่าในวันที่คนตายเข้ามาภายในคอนโด มีชายคนหนึ่ง สวมใส่เสื้อฮู้ดคลุมหัวใส่แว่นตา เข้ามาภายในคอนโดพร้อมกับคนตาย และหลังจากนั้นภาพจากกล้องวงจรปิดในคอนโด จับภาพว่าวันที่ 21 พ.ค. เวลาประมาณ 04.05น. ชายต้องสงสัยคนดังกล่าวมีการเดินออกจากลิฟต์คอนโดและเดินไปโบกแท็กซี่ ออกไป เจ้าหน้าที่จึงกำลังล่าติดตามตัวชายต้องสงสัยคนดังกล่าว ที่คาดว่าอาจเป็นคนก่อเหตุ เพราะเนื่องจากเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับคนตายนั้น

 

วันนี้ (27 พ.ค.) ทีมข่าวช่องแปดลงพื้นที่ไปยังคอนโดที่เกิดเหตุ ซึ่งทางคอนโดไม่อนุญาตให้ทีมข่าวขึ้นไปบันทึกภาพในห้องที่เกิดเหตุ เพราะเนื่องจากกลัวกระทบเกี่ยวกับลูกบ้านและความเสียหาย แต่สามารถบันทึกภาพจากตัวตึกและด้านนอกได้ โดยสังเกตว่าห้องที่เกิดเหตุนั้นยังคงมีการเปิดประตูหน้าต่างทิ้งเอาไว้ เพื่อเป็นการระบายกลิ่น เนื่องจากกลิ่นยังคงคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ และช่วงที่ทีมเดินทางไปถึงบริเวณใต้คอนโดแม้ว่าจะเป็นชั้นG. อยู่ห่างจากชั้นที่เกิดเหตุถึง 6 ชั้น แต่ก็ยังมีกลิ่นคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณเช่นเดียวกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางนิติคอนโดรอให้ตำรวจตรวจสอบเสร็จ จะมีการประสานญาติและรวมถึงเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดของคอนโดเข้าเคลียร์พื้นที่ เพื่อดับกลิ่นทั้งหมด และเบื้องต้นทราบว่าผู้ที่เช่าอาศัย ได้มีการขอคืนห้องตั้งแต่เมื่อคืนหลังพบศพ ประมาณ 2-3 ห้องแล้ว แต่ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าของเอง ยังอยู่การพิจารณาว่าจะย้ายหรือไม่อีกหลายห้อง

 

ทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิดเกี่ยวกับไทม์ไลน์ และพฤติกรรมของคนตายกับชายต้องสงสัย ซึ่งคาดว่าเป็นคู่ขากับคนตายก่อนที่จะถูกฆ่าและหลบหนี

 

โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดของคอนโดจับภาพไทม์ไลน์ของนายไพศาล คนตาย ซึ่งเข้ามาที่คอนโด ก่อนเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 18 พ.ค. เวลา 17.24 น. คนตายใส่เสื้อสีครีมกางเกงขาสั้นสีดำ สวมแว่น ถือกระเป๋าอยู่ที่แขนซ้าย เดินไปติดต่อกับนิติเพื่อรับพัสดุ

 

วันเดียวกัน 18 พ.ค. เวลา 17.25 น. คนตายรับพัสดุจากนิติ เดินออกจากสำนักงาน ไปขึ้นรถที่จอดอยู่ เพื่อขับออกจากคอนโดที่เกิดเหตุออกไป และไม่ได้มีการเข้ามาพักหรืออยู่ที่คอนโดแห่งนี้ โดยเข้าใจว่ามีบ้านอีกหลังหรืออยู่ที่อื่น

 

และมีภาพของคนตายปรากฏอีกครั้ง โดยมีการขับรถเข้ามาภายในคอนโด ซึ่งมีกล้องตั้งแต่ทางเข้าจนกระทั่ง ห้องโถง และลิฟต์ บันทึกพฤติกรรมของคนตายรวมถึงชายซึ่งคาดว่าเป็นคู่ขาที่คนตายพามาด้วย เข้ามาภายในคอนโดที่เกิดเหตุ

 

โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพวันที่ 20 พ.ค. เวลา 22.25 น. นายไพศาลคนตาย ขับรถโตโยต้าสีน้ำเงิน เข้ามาผ่านป้อม รปภ. โดยจะมีช่วงที่คนตายขับรถผ่านกล้องวงจรปิดหน้าป้อม มีการลดกระจกพูดคุยกับ รปภ. โดยจะเห็นใบหน้าของนายไพศาลคนตายชัดเจน และจะเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างคนตายคือชายคู่ขา ซึ่งตอนนั้นไม่ได้มีการสวมใส่หน้ากากอนามัยและสวมแว่นปิดบังใบ โดยจะเห็นลักษณะโครงหน้า แต่ไม่ชัด ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพตั้งแต่ขับรถเข้ามาผ่านป้อม จนกระทั่งไปจอด

 

และตอนที่ผ่านป้อมนั้น ตัวของคนตายได้มีการพูดและสอบถามกับทางรปภ. ระบุว่า “ จอดแป๊บเดียวไม่นาน จอดตรงไหนได้บ้าง ” ก่อนที่รปภ. แนะนำให้ไปจอดบริเวณด้านหลัง และให้เดินย้อนออกมา

 

ซึ่งกล้องวงจรปิดดังกล่าวจะได้ยินคนตายพูดชัดเจนทำนองว่าแวะมาแป๊บเดียว โดยตำรวจชุดสืบสวนคาดว่าคนตายน่าจะยังไม่รู้ตัวว่าถูกฆ่า พาคู่ขามามีลักษณะร่วมหลับนอนก่อนที่จะไปส่ง ซึ่งอาจแวะมาใช้พื้นที่คอนโดเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจมาค้างคืน จึงตอบกลับทางรปภ. ตอนที่เข้ามาหาที่จอดในคอนโดทำนองว่า “หาที่จอดแป๊บเดียว”

 

จากนั้น มีกล้องวงจรปิดภายในคอนโดที่เกิดเหตุ จับภาพบริเวณห้องโถงและลิฟต์โดยสาร ซึ่งจะเห็นว่า ตัวของนายไพศาลคนตายเดินมาพร้อมกับคู่ขา โดยสังเกตว่าคู่ขาจะมีการสวมใส่เสื้อฮู้ดสีดำคลุมหัว แต่ตอนที่เข้าลิฟต์ครั้งแรกครั้งแรกไม่ได้มีการสวมใส่แว่นตาปิดบังใบหน้า

 

ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณห้องโถงจับภาพเวลาประมาณ 22.26 น. ของวันที่ 20 พ.ค. โดยทั้งคู่จะเดินผ่านห้องโถง มาแตะประตูคีย์การ์ดเข้าไปที่ลิฟต์

 

จนกระทั่งลิฟต์มาจอดรับ ซึ่งทั้งคู่ระหว่างที่ขึ้นจากชั้น 1 ขึ้นไปที่ชั้น 6 ได้มีการพูดคุยหยอกล้อ โดยขอดูซิกแพคของกันและกัน เพราะเนื่องจากคนตายเป็นคนชอบออกกำลังกาย โดยการสนทนาภายในลิฟต์มีการพูดทำ “ ขอดูหน้าท้องหน่อย ทำไมถึงมีพุงอ้วนจัง ออกกำลังกายต้องดูแลตัวเองดูแลตัวเองบ้างนะ”

 

และหลังจากพูดคุยกันเสร็จทั้งคู่ก็เดินออกจากลิฟต์ เพื่อไปที่ห้องที่เกิดเหตุ

 

และหลังจากที่ ตัวของนายไพศาลคนตายกับคู่ขาซึ่งเข้าไปภายในห้องที่เกิดเหตุแล้ว มีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพอีกครั้งเวลาประมาณ 01.01น. เข้าสู่วันที่ 21 พ.ค. จะเห็นว่าคู่ขาของคนตาย เดินมากดลิฟต์จากชั้น 6 เพื่อลงไปชั้นล่าง โดยจะเริ่มเห็นความผิดปกติของตัวคู่ขา มีการสวมใส่แว่นตาดำ ในมือถือโทรศัพท์ iPhone เครื่องสีแดง เป็นของคนตาย ลงลิฟต์ชั้นล่าง และก่อนเดินออกจากลิฟต์จะมีการก้มมองมือซ้ายลักษณะคล้ายคล้ายกับมีการได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กัน

 

จากนั้นมีภาพกล้องวงจรปิดบริเวณด้านล่างลานจอดรถของคอนโด ซึ่งจะเห็นว่าคู่ขา มีลักษณะเดินนิ่งเฉย และเดินไปที่รถของคนตายเพื่อไปปลดล็อกรถ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ในการรื้อค้นทรัพย์สินของคนตาย ก่อนที่จะกลับขึ้นไปที่คอนโดอีกครั้ง ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณด้านล่างคอนโดจับภาพเอาไว้ได้หลายมุม

 

และเวลาประมาณ 01.25 น. วันเดียวกัน 21 พ.ค. หลังจากที่มีการรื้อค้นและหยิบเอาทรัพย์สินของคนตายติดมือขึ้นมาแล้ว ได้เดินกลับขึ้นไปที่ห้องที่เกิดเหตุ แต่มีช่วงหนึ่งที่ไปยืนอยู่บริเวณประตูคีย์การ์ดชั้นล่างของห้องโถง ซึ่งทำทีแตะประตูคีย์การ์ดซึ่งเป็นคีย์การ์ดของคนตาย แต่เข้าใจว่าไม่เข้าใจระบบจึงยืนพยายามแตะคีย์การ์ดอยู่พักใหญ่

 

หลังจากที่ สามารถเข้าประตูคีย์การ์ดได้แล้วได้มีการกดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้น 6 คู่ขาจะมองตัวเองผ่านกระจกของลิฟต์ โดยจะเห็นว่ามีการสวมใส่แว่นตา 2 ชั้น คือแว่นตาสายตา ทับด้วยแว่นตาดำอีกชั้น ใส่หน้ากากอนามัย ในมือถือของพะรุงพะรังและถุงสีเทาซึ่งคาดว่าเป็นทรัพย์สินของคนตายที่ไปรื้อค้นในรถ

 

จากนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติม คาดว่าตัวของคู่ขาน่าจะอยู่กับคนตายภายในห้องประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง

 

ก่อนที่กล้องวงจรปิดโดยเฉพาะลิฟต์ จับภาพต่อวันเดียวกัน 21 พ.ค. เวลา 04.05น. จัดภาพเห็นคู่ขายังคงสวมใส่เสื้อฮู้ดคลุมหัวสีดำปิดบังใบหน้า ใส่หน้ากากอนามัย ใส่แว่นตา2ชั้น เปลี่ยนกางเกงจากสีฟ้าออกเป็นสีดำ สะพายกระเป๋าถุงผ้าสีเขียว ซึ่งบรรจุสิ่งของภายในสีแดง แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นทรัพย์สินอะไรของคนตาย มีการเดินลงจากลิฟต์

 

ก่อนที่ภาพจากกล้องวงจรปิดตัวอื่นบริเวณด้านล่างของคอนโดจับภาพต่อ เดินออกจากตึกคอนโดไปที่ป้อม รปภ. ข้างนอก และไปรอโบกแท็กซี่หลบหนี

 

และกล้องวงจรปิดบริเวณด้านหน้าคอนโด จับภาพวันเดียวกัน 21 พ.ค. เวลา 04.38 น. รถแท็กซี่สีเหลืองขับไปรับคนก่อเหตุที่บริเวณหน้าเซเว่น

 

และเวลาประมาณ 04.41 น. มีการขับออก เพื่อพาหนีออกจากพื้นที่ โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพรถแท็กซี่สีเหลืองขับไปรับและขับผ่านกล้องหนี

 

ด้าน นางสาวชนก (นามสมมติ) คนในตึก ในฐานะคนได้ยินเสียงคนตายร้องขอความช่วยเหลือ เผยว่า ก่อนช่วงวันพบศพหลายวันก่อนหน้านี้ ตนเองได้ยินเสียง คนทะเลาะกันดังลั่นคอนโด ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าเป็นผัวเมียทะเลาะกันตามปกติ แต่ได้ยินเสียงคนวิ่งออกจากห้องและวิ่งอยู่บริเวณชั้น 6 ซึ่งย่ำเท้าเสียงดัง (ตึกๆๆ) และได้ยินเสียงผู้ชาย (คนตาย) มีการพูดทำนองว่า “พอแล้ว ช่วยด้วย ช่วยด้วย” ซึ่งลักษณะเหมือนวิ่งหนีคนกำลังไล่ทำร้ายอยู่ ก่อนที่เสียงจะเงียบไป สักพักก็ได้ยินเสียงโครมครามขายของร่วงตกอีกครั้งในห้อง ซึ่งก็เป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน แต่เข้าใจว่าในวันนั้นช่วงที่มีเสียงโวยวายและเสียงขอความช่วยเหลือดังลั่นชั้น ได้มีการแจ้งนิติและรวมถึงรปภ. เข้ามาตรวจสอบแล้ว แต่ไม่พบความผิดปกติ จนกระทั่งเพิ่งมารู้ภายหลังว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงคนฆ่ากันตาย

 

และที่สำคัญหลังจากสิ้นเสียงขอความช่วยเหลือและเสียงวิ่งลั่นชั้น ได้ยินเสียงคล้ายมีการยกสิ่งของซึ่งเป็นของหนัก และวางลงบนพื้นเสียงดัง (ตึง) เข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงที่มีการอำพรางหรือใช้ที่นอน อำพรางร่างของคนตายก่อนที่จะหลบหนีหรือไม่

 

สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ตนเองก็ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นภายในคอนโดด้วยซ้ำ เพราะเนื่องจากมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา และตนเองอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 ปี โดยส่วนใหญ่คนนอกจะเข้าออกไม่ได้ เว้นแต่ว่าคนในจะมีการพาเข้า หากเป็นคนนอกหรือแม้แต่เพื่อนตนเองมาเยี่ยมและมาหา ก็ยังต้องมีการแลกบัตร

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับตนเองในฐานะที่เป็นผู้ซื้อ ก็คงจะอาศัยอยู่ตามปกติคงไม่มีการย้ายหรือหนีไปไหน แต่เข้าใจว่าคนที่มีการเช่าอยู่อาศัย มีบางห้องตัดสินใจย้ายออกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพราะเนื่องจากกลิ่นค่อนข้างแรง ประกอบกับค่อนข้างกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

ด้าน นางสาวส่วน (นามสมมติ) เพื่อนสนิทของคนตาย ในฐานะคนที่ได้พูดคุยกับผู้ต้องสงสัยหลังขโมยมือถือของคนตายติดตัวไปด้วย เผยว่า ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครเอะใจว่าจะเกิดเหตุร้ายเกิดขึ้นกับนายไพศาลหรือโต๊สเพื่อนของตนเอง เพราะเจ้าตัวบอกกับกลุ่มเพื่อนว่าจะเดินทางไปประเทศจีนเพื่อทำธุรกิจก่อนจะเดินทางกลับมา โดยเข้าใจว่าช่วงที่หายไปนั้นน่าจะอยู่ที่ประเทศจีน

 

และวันก่อนที่จะทราบว่านายไพศาลหรือโต๊สกลายเป็นศพนั้น ตนเองเห็นความผิดปกติทราบว่าเพื่อนไม่มีความเคลื่อนไหวหรือมาตอบ LINE กลุ่ม จึงได้มีการทักข้อความไปสอบถามใน LINE กลุ่มทำนองว่า “ เป็นไงสบายดีมั้ยหายไปไหน” จากนั้นก็พยามโทรศัพท์ไปสอบถาม แต่ปรากฏว่าโทรศัพท์ปิดเครื่อง ซึ่งตอนแรกก็ไม่เอะใจยังคงเข้าใจเหมือนเดิมว่าเพื่อนไปทำธุรกิจที่ประเทศจีน จนกระทั่งมีข้อความตอบกลับตอบกลับว่า “สบายดี แค่ปวดหัว” ตนเองก็เห็นว่าเพื่อนน่าจะยุ่งหรือวุ่นจึงไม่ได้ถามและเซ้าซี้ต่อ จนกระทั่งวันถัดมาก็ยังเห็นว่าไม่มีการโต้ตอบเหมือนที่เคยคุยกัน จึงได้ถามกลับไปอีกครั้งทำนองว่า “โอเคใช่ไหม” โดยมีการตอบเป็นสติกเกอร์ เพื่อยืนยันกลับมาว่า “ok” กลุ่มเพื่อนก็ไม่ได้มีใครสนใจอะไรต่อเข้าใจว่าคนตายน่าจะยุ่งจริง

 

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ตอนที่เจอศพ และตำรวจได้มีการโทรประสานไปยังเพื่อนในกลุ่ม เพื่อบอกข่าวให้รู้ว่าคนตายเสียชีวิต พร้อมกับให้ยืนยันตัวบุคคลว่าเป็นใครชื่ออะไร ซึ่งตำรวจได้ติดต่อไปหาเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ และเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศติดต่อมาหาตนเองที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อแจ้งข่าวให้รู้ว่านายไพศาลหรือโต๊สเสียชีวิตแล้ว ตนเองหลังรู้ความจริงก็ตกใจ เพราะตำรวจบอกเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 4-5 วัน แต่ตนเองจำได้ว่าล่าสุดยังคุยกันอยู่ จึงได้เข้าไปดูใน LINE กลุ่มที่มีการคุยกัน ปรากฏว่า LINE ของนายไพศาลหรือโต๊ส มีการกดออกจากกลุ่มและลบข้อมูลออก พร้อมทั้งยังมีการออกจากกลุ่มเพื่อนกลุ่มอื่นอีก ทั้งเพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนกลุ่มอื่นๆ จึงเข้าใจว่าเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว

 

และเชื่อว่าคนที่เอาโทรศัพท์ไปตอบน่าจะเป็นชายที่ปรากฏอยู่ในลิฟต์หรือไม่ หรือเป็นผู้ต้องสงสัยคนอื่นหรือไม่ แต่เชื่อว่าคงไม่ใช่คนที่หวังประสงค์ดี และไม่ใช่คนดีแน่นอน ที่เอามือถือของคนตายไปแล้วมีการโต้ตอบกับเพื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น , อีกทั้งยังเชื่อว่าการที่มีการตอบเพื่อให้เพื่อนไม่สงสัย เป็นเพราะกำลังเอาทรัพย์ ของคนตายพร้อมกับหนีไปให้ไกลมากขึ้น เพื่อไม่ให้เพื่อนสงสัยแล้วไปเจอศพเร็ว

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับชายต้องสงสัยซึ่งใส่เสื้อฮู้ดสีดำคลุมและขึ้นลิฟต์พร้อมกับคนตายเป็นครั้งสุดท้ายตามที่ภาพวงจรปิดปรากฏนั้น ส่วนตัวยืนยันว่าไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า และไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับคนตาย แต่ถ้าหากเป็นไปตามที่มีข่าว ว่าคนตายมีการนัดเพื่อนชายขึ้น ไปนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาซึ่งตนเองก็ไม่ทราบ จึงไม่อยากขอตอบเรื่องนี้

 

ทีมข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของนายไพศาลหรือโต๊สคนตาย โดยพบว่าบ้านอยู่ซอย กรุงเทพ-นนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านที่เจ้าตัวอยู่อาศัยอาศัยกับแม่ก่อนไปซื้อคอนโดที่เกิดเหตุเอาไว้ โดยบ้านหลังนั้นดังกล่าวสังเกตว่าบริเวณชั้นล่างของบ้านจะมีข้าวของเครื่องใช้ และสินค้าที่เจ้าตัวมีการสั่งออเดอร์มาจากประเทศจีนเพื่อที่จะขายให้กับลูกค้า วางกล่องและคลุมผ้าเอาไว้จำนวนมาก เนื่องจากคนตายเป็นนักธุรกิจ ซื้อมาขายไป โดยการสั่งของจากประเทศจีนและต่างประเทศอื่นๆ เพื่อที่จะนำมาขายให้กับพ่อค้าคนกลางและลูกค้าในประเทศไทย , และเจ้าตัวยังเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ธนาคารแบงค์ ก่อนที่จะผันตัวมาทำธุรกิจขายของออนไลน์

 

แล้วตอนที่ทีมเขาเดินทางไปถึงที่บ้านก็พบว่า มีแม่และญาติของนายไพศาลคนตาย ซึ่งนั่งอยู่บริเวณหน้าบ้านจับเข่าคุยกันและคอยปลอบกัน หลังจากที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ติดตามข่าวตั้งแต่ช่วงเช้า ทราบว่ามีคนตายที่คอนโด แต่ไม่มีใครคาดคิดเป็นตัวของนายไพศาลหรือโต๊ส เข้าใจว่าเป็นคนอื่นด้วยซ้ำ จนกระทั่งมีนักข่าวและตำรวจเข้ามาที่บ้านจึงรู้ความจริงว่าศพที่เจอนั้นเป็นลูกชาย จึงทำใจต่อการจากไปไม่ได้

 

ด้านนางจง อายุ 80 ปี แม่ของนายไพศาลหรือโต๊ส คนตาย เปิดใจกับทีมข่าวช่องแปด ว่า ตนเองยังรับไม่ได้กับการจากไปของลูกชาย เพราะไม่คิดว่าจะต้องตายด้วยนิ้วมือของคนแบบนี้ ส่วนตัวอยากให้ถูกจับโดยเร็ว และควรจะได้รับการประหารชีวิต เพราะลูกชายของตนเองเป็นคนไม่เคยทำร้ายใคร แต่ทำไมต้องมาทำร้ายลูกชายตนเองแบบนี้ แล้วยังเอาทรัพย์สินของลูกชายตนเองไปด้วย ฉะนั้นจึงอยากให้ได้รับเวรกรรมและชดใช้เวรกรรมให้เร็วที่สุด เพราะตนเองสงสารลูกชาย และขอย้ำว่าไม่อโหสิกรรมและไม่ให้อภัยอย่างแน่นอน

 

สำหรับเรื่องของการใช้ชีวิตของลูกชายนั้น เข้าใจว่าลูกชายไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่ตนเองก็ไม่เคยไปยุ่งเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา และตนเองก็ไม่เคยรู้ว่าลูกชายเป็นแบบไหนหรือคบหาใคร ทราบแต่ว่าเขาเป็นคนดีดูแลครอบครัวดูแลแม่ ฉะนั้นตนเองจึงไม่ก้าวก่ายเรื่องของชีวิตส่วนตัว และย้ำว่าขอให้เขาเป็นคนดีก็พอ

 

ส่วนผู้ชายคนที่เป็นผู้ชายต้องสงสัยที่ปรากฏอยู่ในลิฟต์ ตนเองไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะโดยปกติเวลาลูกชายพาเพื่อนหรือคนแปลกหน้ามาที่บ้าน ก็จะพากันไปขึ้นคุยกันที่ชั้น 2 ของบ้าน ซึ่งก็ไม่เคยพามาแนะนำหรือพามามาให้รู้จัก จึงไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ซึ่งเรื่องนี้ก็ปล่อยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ

สยองกลางกรุง! เกย์โหดกระหน่ำแทงคู่ขา 15 แผล เลือดเย็นนอนกับศพวางแผนหนี