จากกรณีเมื่อวานนี้ (11 พ.ค.67) นายฐิติพงษ์ อายุ 34 ปี ได้ออกมาเล่าเรื่องราวสุดแสนช้ำใจว่าถูกหญิงสาวคนรักบังคับให้จดทะเบียนสมรสพร้อมสูบเงินไปกว่า 2 แสนบาท ก่อนลวงออกไปให้กลุ่มชายคนสนิททำร้ายที่ร้านกุ้งเผาแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อหวังฮุบสมบัติทั้งหมดของนายฐิติพงษ์
ทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปยังอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อพูดคุยกับ นายฐิติพงษ์ อายุ 34 ปี (ผู้เสียหาย) โดยนายฐิติพงษ์เล่าเรื่องราวสุดแสนช้ำใจให้ฟังว่า ในวันที่ 8 เมษายน 2567 ขณะที่ตนกำลังนั่งสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมแนะนำตัวว่าชื่อ “อุ๋มอิ๋ม” หรือ นางสาวณัชยา อายุ 35 ปี ในตอนนั้นเพื่อนก็ได้เชียร์ให้ตนคบกับนางสาวณัชยาเพราะบอกว่าฝ่ายหญิงนั้นนิสัยดีและยังโสด ตนก็เห็นว่าฝ่ายหญิงน่ารักดีจึงตัดสินใจคบหากับนางสาวณัชยาทันทีหลังจากรู้จักกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง
หลังจากนั้นเพียง 3 วัน (11 เม.ย.67) นางสาวณัชยาก็ได้พาแม่ของเธอมาหานายฐิติพงษ์ถึงที่บ้านพร้อมกับต่อว่านายฐิติพงษ์ที่ทำให้ลูกสาวเขาเสียหายและเรียกร้องให้นายฐิติพงษ์แต่งงานกับนางสาวณัชยา แล้วมีการเรียกเงินจำนวน 50,000 บาท แต่ในตอนนั้นตนไม่ได้ให้เงินกับแม่ของฝ่ายหญิงและเปลี่ยนเป็นพานางสาวณัชยาไปซื้อแหวนเพชรที่ห้างแทน โดยตอนนั้นตนได้ซื้อแหวนเพชร 3 กะรัต ราคา 115,000 บาท พร้อมกับถอย iPhone 15 Pro Max ให้ฝ่ายหญิง 1 เครื่อง เพื่อเป็นของขวัญแทนใจให้ฝ่ายหญิงเชื่อมั่นว่าตนนั้นรักจริงหวังแต่ง
จากนั้นในวันที่ 15 เม.ย.67 นางสาวณัชยาก็ได้บอกว่าจะพาตนไปแนะนำกับกลุ่มรุ่นพี่ที่รู้จัก ตอนนั้นตนก็ได้ไปร้านกุ้งเผาแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองกับนางสาวณัชยา แต่เมื่อไปถึงก็ต้องตกใจเพราะกลุ่มรุ่นพี่ที่ร้านได้เดินมาดูดหน้าอกของนางสาวณัชยาต่อหน้าต่อตานายฐิติพงษ์ ตอนนั้นตนก็ตกใจถามฝ่ายหญิงว่าเกิดอะไรขึ้นแต่นางสาวณัชยาก็อ้างว่าเป็นการเล่นกันขำ ๆ เพราะสนิทกัน ซึ่งตนก็รู้สึกไม่ค่อยดีแต่ก็พยายามจะเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่จบลงเท่านั้น ช่วงประมาณวันที่ 17-18 เม.ย.67 ขณะที่ตนนอนหลับอยู่ภายในห้อง ตนก็ได้ยินเสียงเพลงเปิดดังลั่นบ้าน เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นว่านางสาวณัชยาได้พาผู้ชายแปลกหน้า 2 คนมาที่บ้าน ลักษณะเหมือนกับพามามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน แต่นางสาวณัชยาก็ได้ปฏิเสธและบอกว่าเป็นเพียงรุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จักกัน แต่นายฐิติพงษ์นั้นก็รู้จักผู้ชายคนดังกล่าวเพราะจำได้ว่าทั้งคู่ได้ทำงานเป็นเด็กเอ็นที่ร้านของคนรู้จัก แต่ตนก็เลือกที่จะหลับหูหลับตาเพราะตนนั้นรักผู้หญิงคนนี้และหวังว่าจะได้ชีวิตร่วมกัน
จนในช่วงเช้าของวันที่ 4 พ.ค.67 ตนได้ตัดสินใจพานางสาวณัชยาไปจดทะเบียนสมรสเพราะแม่ของฝ่ายหญิงก็รบเร้ามาอยู่ตลอด หลังจากจดทะเบียนสมรสเสร็จในช่วงค่ำของวันเดียวกัน ตนก็ได้พาพาหญิงไปเลี้ยงฉลองที่ร้านของรุ่นพี่ แต่ทางด้านนางสาวณัชยานั้นเกิดอยากไปร้านกุ้งเผาร้านเดิม ซึ่งตนก็ไม่ได้อยากไปเพราะจำได้ว่าเคยมีผู้ชายมาจูบหน้าอกภรรยาของตัวเอง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมไปเพราะฝ่ายหญิงนั้นยืนยันว่าจะไปให้ได้ จนในเวลาประมาณ 22.00 น. เมื่อขับรถถึงร้านกุ้งเผา จู่ ๆ นางสาวณัชยาก็วิ่งลงจากรถพร้อมกับตะโกนให้คนมาช่วย แล้วชายฉกรรจ์จำนวน 3 คนที่รออยู่ก่อนแล้วก็ได้เดินปรี่เข้ามาทำร้ายร่างกายตน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็น่าจะมีตำรวจอยู่ด้วยเพราะหัวเกรียน ตนก็ถูกทำร้ายอย่างหนักจึงได้ชักอาวุธปืนออกมายิงขู่ขึ้นฟ้า 2 นัด และใช้จังหวะดังกล่าวหนีออกมาได้สำเร็จ แต่ระหว่างการหลบหนีออกมาตนก็ประสบอุบัติเหตุทางถนนซ้ำอีกเพราะด้วยอาการบาดเจ็บจึงทำให้รถของตนเสียหลัก ตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณกะโหลกศีรษะร้าว, มีแผลฉีกขาดในช่องปากเย็บ 30 เข็ม, ดั้งหัก และร่องรอยฟกช้ำอีกนับไม่ถ้วน
อีกทั้งตอนนี้ตนไม่สามารถติดต่อนางสาวณัชยาได้ เพราะฝ่ายหญิงได้หนีไปพร้อมกับทรัพย์สินที่ตนมอบให้กว่า 2 แสนบาท ส่วนตัวตนก็เอะใจอยู่บ้างว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นแผนของนางสาวณัชยา ฝ่ายหญิงคงตั้งใจเข้ามาหลอกตนตั้งแต่แรก เพราะตนนั้นตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน หลังจากที่ได้จดทะเบียนสมรสฝ่ายหญิงอาจอยากให้ตนหายไปและหวังจะได้ฮุบทรัพย์สินของตนทั้งหมด ตอนนี้ตนรู้สึกเสียใจมากที่โดนหักหลังแบบนี้ ตนนั้นรักฝ่ายหญิงและทุ่มเทดูแลครอบครัวของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ไม่นึกว่าจะได้รับผลตอบแทนแบบนี้ หลังจากนี้ขอยืนยันว่าจะเอาเรื่องฝ่ายหญิงให้ถึงที่สุด รวมไปถึงจะทำการฟ้องหย่าด้วย ซึ่งหากนางสาวณัชยาฟังอยู่ก็อยากบอกเพียงสั้น ๆ ว่า “อย่าไปทำแบบนี้กับใครอีก”
ต่อมาทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าร้านกุ้งเผา ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 เวลา 00.39 น. จะไม่เห็นตัวคนแต่จะได้ยินเสียงของนายฐิติพงษ์ที่กำลังตะโกนด่าฝ่ายหญิง จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด (00.39.18 - 00.39.31) ซึ่งในเหตุการณ์นั้นมีเพียงแค่นายฐิติพงษ์และนางสาวณัชยา โดยที่ยังไม่มีบุคคลที่สามเข้ามาในเหตุการณ์
จากนั้นในเวลา 00.42 น. จะเห็นว่านายฐิติพงษ์และนางสาวณัชยาได้ยืนอยู่บริเวณริมถนนฝั่งตรงข้ามกับร้านกุ้งเผา ซึ่งในมือของฝ่ายชายก็ได้ถืออาวุธปืนไว้อยู่แล้วทำการถามฝ่ายหญิงว่า “มึงกลัวอะไร” จากนั้นก็พยายามลากให้นางสาวณัชยาออกจากบริเวณดังกล่าวแล้วพูดตะโกนว่า “ขึ้นรถ มึงอย่ามางี่เง่ากับกู” แต่ฝ่ายหญิงก็ได้ร้องไห้ออกมาไม่ยอมขึ้นรถ ซึ่งนายฐิติพงษ์ก็ถามซ้ำว่า “มึงกลัวอะไร ก็มึงนอกใจกูไอ้ควาย“
จนในเวลา 00.44 น. รถของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ขับเข้ามา นางสาวณัชยาก็ได้เดินออกไปขความช่วยเหลือ แล้วลูกสาวของนายดิณรงค์ชัยเจ้าของร้านกุ้งเผาก็ได้เดินออกมาพร้อมบอกว่า “หนูโทรแจ้งเอง” แล้วก็เข้าไปกอดนางสาวณัชยาเอาไว้ จากนั้นในเวลา 00.46.19 น. นายฐิติพงษ์ก็ได้เดินปรี่เข้าไปกระชากนางสาวณัชยาอีกครั้ง ฝ่ายหญิงก็ตะโกนร้องไห้บอกว่า “ปล่อย ปล่อย กรี๊ด เจ็บ” ส่วนลูกสาวร้านกุ้งเผาก็ทำการตะโกนเรียกให้พ่อออกมาช่วย จนในเวลา 00.48.36 น. นายดิณรงค์ชัยก็ได้เดินออกมาตัวเปล่าเพื่อไปดูเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จากนั้นเวลา 00.49 น. นายฐิติพงษ์ก็ได้ขับรถออกไปทันที โดยที่ไม่มีเหตุการณ์ถูกรุมทำร้ายตามที่นายฐิติพงษ์ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด
ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่ร้านกุ้งเผาดังกล่าวและได้พูดคุยกับนายดิณรงค์ชัย อายุ 47 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของร้านที่นายฐิติพงษ์ยืนยันว่าเป็นคนที่ก่อเหตุทำร้ายตน โดยวันนี้ทางด้านนายดิณรงค์ชัยก็ได้ออกมาโต้เช่นเดียวกันพร้อมบอกว่าเรื่องที่นายฐิติพงษ์เล่านั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งความจริงแล้วตนก็เพิ่งจะรู้จักนางสาวณัชยา ได้เพียงไม่นานนักซึ่งตนก็สนิทสนมกันฐานะพี่น้องไม่มีอะไรเกินเลย ที่ผ่านมาตนเคยเจอนางสาวณัชยาเพียง 2-3 ครั้งและก็เจอกันที่ร้านกุ้งเผาของตน อีกทั้งภรรยาและลูกสาวของตนก็อยู่ที่ร้านด้วยตลอด จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ตนจะแอบไปมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับนางสาวณัชยา จนกระทั่งช่วงวันสงกรานต์ นางสาวณัชยาก็ได้พานายฐิติพงษ์มาเที่ยวที่ร้านและแนะนำว่าเป็นคนรู้จักกัน ซึ่งในวันนั้นก็มีกลุ่มเพื่อนมารวมตัวกันหลายคนและทุกคนก็ดื่มกันจนเมา จึงมีการเล่นกันแบบถึงเนื้อถึงตัวเนื่องจากทั้งหมดก็ค่อนข้างสนิทกัน แต่ตนในฐานะผู้ใหญ่แล้วก็ไม่ได้ไปนั่งเล่นกับกลุ่มวัยรุ่นและไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง แต่ประเด็นที่บอกว่าตนจะไปจูบหน้าอกของนางสาวณัชยานั้นไม่ใช่เรื่องจริงแน่นอน
จนกระทั่งกลางดึกของวันที่ 2 พ.ค.67 ขณะที่ตนกำลังจะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงคล้ายกับคนปาก้อนหินใส่บนหลังคา ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรจนมาได้ยินเสียงดังเป็นครั้งที่สอง ตนจึงตั้งใจจะออกไปดูว่าใครมาปาหินใส่หลังคาบ้านกลางดึก แต่ทางด้านภรรยาของตนก็ได้ห้ามเอาไว้และมาบอกในภายหลังว่ามีคนทะเลาะกันหน้าร้าน ซึ่งเสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงก้อนหินแต่เป็นเสียงปืน สาเหตุที่ภรรยาของตนรู้ก็เป็นเพราะก่อนหน้านั้นนางสาวณัชยาได้ติดต่อมาขอความช่วยเหลืออยู่ก่อนแล้ว จากนั้นนายดิณรงค์ชัยก็ได้ตัดสินใจลุกออกไปดูหน้าร้านว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เมื่อไปถึงก็เห็นว่าลูกสาวของตัวเองและนางสาวณัชยานั่งร้องไห้อยู่ริมถนนหน้าร้าน ตนเห็นดังนั้นก็โมโหเพราะคิดว่านายฐิติพงษ์จะทำร้ายลูกสาวของตนด้วย บังเอิญกับที่ Grab ขับผ่านมาพอดีและบอกว่ามีรถเสียหลักชนกับเสาไฟด้านหน้า ตนได้ยินแบบนั้นจึงตั้งใจจะไปดูว่านายฐิติพงษ์เป็นอะไรหรือเปล่าและอยากจะไปถามว่ามายิงปืนใส่บ้านของตนทำไม ทันทีที่ไปถึงปรากฏว่านายฐิติพงษ์ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ลักษณะเหมือนกับว่านายฐิติพงษ์กำลังรีบเอาปืนไปซ่อนหลังต้นไม้ใหญ่ ตนก็เดินเข้าไปหาแต่ทว่านายฐิติพงษ์ได้เดินมาชี้หน้าด่าว่าตนไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา ตนได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งของขึ้นและยอมรับว่าได้ชกเข้าไปที่หน้าของนายฐิติพงษ์ 2-3 ครั้ง
ซึ่งนายดิณรงค์ชัยขอยืนยันว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของนายฐิติพงษ์และนางสาวณัชยา ตนไม่ได้สนใจว่าทั้งคู่จะโกรธกันหรือทะเลาะอะไรกัน แต่สิ่งที่ตนไม่พอใจก็เป็นเพราะนายฐิติพงษ์มายืนยิงปืนหน้าบ้านของตน ส่วนที่นายฐิติพงษ์บอกว่าฝ่ายหญิงวางแผนหลอกจดทะเบียนแล้วหวังจะฆ่าฮุบสมบัติ ในฐานะคนที่เคยรู้จักตนมองว่าชีวิตจริงไม่ใช่ละครอย่างพจมาน นายฐิติพงษ์ไม่ใช่คุณชายเล็กที่จะมีทรัพย์สมบัติอะไรมากมายให้ผู้หญิงมาหลอก อีกทั้งนายฐิติพงษ์ก็ทำอาชีพค้าขายเกี่ยวกับอาวุธปืน ผู้หญิงที่ไหนจะกล้าหลอกไปฆ่า จะมีก็แต่ฝ่ายชายนั้นแหละที่พยายามจะทำร้ายฝ่ายหญิง