จากกรณีเพจดังแฉภาพ สะเทือนวงการผ้าเหลือง “พระสงฆ์” สอนฟอกจิต แถมมีแม่ชีแต่งชุดเขียว ไม่ได้ห่มขาว และที่เป็นกระแสในโซเชียลเนื่องจากบทสวดแปลก เริ่มจาก พุทธะ จิตตะ พุทธะ จิตตะ พุทธะ จิตตะ ก่อนจะก็ตามมาด้วยการสวดรัว ๆ ฟังไม่เป็นภาษา จนหลายคนตั้งคำถามว่า นี่คือพิธีอะไร และมันคือสำนักอะไรกันแน่
ล่าสุดวันนี้ (13 เม.ย. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปยังมหาวิชชาลัยธรรมิกราช 99 ม.9 ต.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ โดยเมื่อไปถึงพบว่า ทางสำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดสุรินทร์ กำลังนั่งพูดคุยกับพระอาจารย์มานิตย์ ธนปัญโญ ผู้บริหารมหาวิชชาลัยธรรมิกราช แห่งนี้
โดยทางพระอาจารย์มานิตย์ ธนปัญโญ ผู้บริหารมหาวิชชาลัยธรรมิกราช ได้เผยกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ตนเองก็ทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมานานในอดีตกาล ซึ่งสำหรับที่นี้ก็มีสอนหลักสูตรเดียว คือหลักสูตรค้นหาตัวตน เพื่อทำให้คนบรรลุธรรม บรรลุนิพพานได้ โดยใช้ธรรมมะเข้าช่วยตามที่พระศาสดาเคยสอนมา ซึ่งการบรรลุนิพพานคือการที่ จิตปล่อยวางแล้ว ละกิเลส ซึ่งหากละสังขารแล้ว ก็จะไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดแล้ว
ส่วนเรื่องของการบริจาคนั้นก็แล้วแต่ว่าใครมีกำลังเท่าไร ถึงจะยกน้ำหนักความดีของตนเองได้ เพราะความดีของเรา เราทำ เราก็ได้ ส่วนถ้าหากใครบริจาคมาแล้วทางเรามีอะไรให้หรือไม่ ก็คงบอกว่าไม่ได้อะไรเลย ก็ได้แค่การละทรัพย์สินก็ได้บุญไป
เวลาคนทำบุญมาบริจาคเงินก็จะเข้าที่มูลนิธิมหาวิชชาลัยธรรมิกราช เพื่อรองรับเอามาใช้เผยแพร่ธรรมมะให้กับคนที่เข้ามาศึกษาปฏิบัติ เพราะตนตั้งมหาลัยนี้มาเราก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไหน ไม่ใช่ว่าจะทำบุญกันได้ง่าย ๆ
ซึ่งที่ดินตรงนี้ก็เป็นที่ดินที่แม่ของตนยกให้กับตนมา ตนก็เอามาสร้างเป็นมูลนิธิแห่งนี้ เพื่อให้คนมาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่สำนักพุทธ สำนักสงฆ์ แล้วแต่คนจะมอง อยากจะมองเป็นวัดก็มองเป็นมูลนิธิก็มอง ตนก็เผยแพร่หลักสูตรนี้มากว่า 4 ปีแล้ว มีคนเข้ามาปฏิบัติทั้งหมด 176 คน แต่ก็มีหายไปบ้าง มีคนที่สำเร็จหลักสูตรแค่ 30 คนเท่านั้น
สำหรับที่นี่จะปฏิบัติทั้งหมด 4 รอบ รอบแรกประมาณตี 4 รอบละประมาณ 1.30 ชม. ซึ่งคนที่มาปฏิบัติก็จะมาทำติดต่อกัน 3-7 วันแล้วแต่คน แต่ตนอยากให้มาเกิน 7 วันมากกว่า จะได้ปฏิบัติได้ผลดี ซึ่งต้องตั้งใจปฏิบัติ หากใครมาทำแบบไม่ตั้งใจ ตนก็ช่วยอะไรไม่ได้
ส่วนที่แม่ชีใส่ชุดสีเขียว คล้ายพระสงฆ์นั้นเพื่อเป็นเครื่องแสดงถึงการปฏิบัติตามพุทธกาล คล้ายภิกษุณี แต่เนื่องจากปัจจุบันที่เมืองไทยบวชเป็นภิกษุณีไม่เป็นที่ยอมรับ จึงห่มผ้าเป็นเชิงสัญลักษณ์ ส่วนแม่ชีโกนหัวห่มขาวก็มี แล้วแต่จะศรัทธาของแต่ละคน
ส่วนประเด็นที่แม่ชีขุดเขียวอ้างตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้าน้อยนั้น พระพุทธเจ้าน้อยคือประเพณีขิงพระพุทธศาสนาที่สืบกันมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์แรก ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกองค์หลังจากปรินิพพานแล้วก็จะผลึกจิตของท่านมาเป็นดวงจิตที่เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ และทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้าน้อยคอยสอนคน
ส่วนการสวดฟอกจิต มันเป็นนวัตกรรมใหม่ของการสวดคาถาที่จะทำให้จิตมีพลัง ที่จะดันกายกรรมกิเลสออกจากภายในร่างกาย ดันคลื่นความทุกข์ วิบากกรรมออก มันจะฟอกจิตให้เราสบาย ซึ่งคาถาฟอกจิตนี้ตนนำมาจากพระพุทธองค์ข้างบน ซึ่งท่านจะเป็นคนควบคุมกิจกรรมทุกอย่างของที่นี่ เวลาที่พระพุทธเข้าน้อย (แม่ชีขุดเขียว) ขึ้นเข้าเฝ้าท่านก็จะมอบแผนงานมาให้ และนำมาเป็นหลักสูตร เราก็จะรับแค่คนที่เจาปฏิบัติได้ เป็นเพชรของเรา หากใครทำไมได้เราก็สลัดทิ้งไป แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้มีการเปิดรับคนมาปฏิบัติเพิ่ม
ส่วนการสวดฟอกจิตแล้วมีอาการร้องไห้ อาเจียน ลุกขึ้นเต้น ตนต้องบอกแบบนี้ว่า การสวดฟอกจิตมันเป็นการชำระล้างวิบากกรรมในจิตของเราออก พอเราสวดแล้วเราเข้าถึงวิบากกรรมออกจากจิตจากตัวก็ดีใจจึงแสดงท่าทางออกมา เป็นการขับสิ่งไม่ดีออกมา ก็เป็นเส้นทางที่มาใหม่ ซึ่งการที่มีประชาชนมาโจมตี ตนก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะใครทำอะไรก็ได้แบบนั้น มันขึ้นอยู่กับสติปัญญาของแต่ละคนแล้วว่าจะรับได้หรือไม่
ต่อมาในช่วงประมาณ 14.00 น. ทางมหาวิชชาลัยธรรมิกราช ได้มีการจัดสวดมนต์ เพื่อที่จะทำพิธีสรงน้ำพระ โดยมีพระอาจารย์มานิตย์ ธนปัญโญ ผู้บริหารมหาวิชชาลัยธรรมิกราช และหลวงแม่กชพร (แม่ชีขุดเขียวนั่งโซฟา) เป็นผู้นำสวด โดยมีเหล่าบรรดาแม่ชี และผู้มาปฏิบัติธรรมร่วมสวดกันกว่า 70 คน โดยผู้สื่อข่าวช่อง 8 ก็ได้ไปร่วมรับนั่งสวดด้วย ก่อนที่สวดเสร็จจะไปรดน้ำพระพุทธรูปสีเงินด้านข้างศาลาสวด
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับ นายพศุตม์ ขอดเมชัย ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า วันนี้ตนเองก็ลงมาดูว่าที่นี่เป็นอะไร จัดตั้งเป็นอย่างไร ซึ่งพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่เอกชน เนื้อที่ 9 ไร่เศษ ๆ มีพระอยู่ 10 กว่าองค์ และแม่ชีอีกประมาณ 20 องค์
ซึ่งตนเองก็ได้สอบถามว่าพระผู้บริหารนี้เป็นพระจริง มีสังกัดที่ถูกต้อง ซึ่งตนได้มีการสอบถามถึงแนวการปฏิบัติของที่นี่ทางด้านพระก็บอกว่าเรียนมาจากพระไตรปิฎก และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ซึ่งส่วนที่พระท่านพูดมาก็มีส่วนถูกในการแสดงหลักธรรม แต่แนวปฏิบัตินั้นมันต่างไปจากตามปกติ ซึ่งตนก็ไม่ได้อยากแย้ง เพราะมันเป็นการเสียมารยาท
ซึ่งเพราะตนสอบถามว่าสถานที่แห่งนี้จัดตั้งเป็นวัดหรือไม่ พระผู้บริหารนั้นแจ้งว่าไม่ได้จดเป็นวัดแต่ว่าเป็นมูลนิธิ เพื่อป้องกันการครหาในการเรี่ยไรเงิน เขาก็มีการเซฟตนเอง แต่มันก็น่าสงสัยตรงที่ว่าหากจดเป็นมูลนิธินั้นภิกษุสงฆ์ ฆราวาส จะสามารถทำได้อย่างไร ซึ่งมันผิดอาจจะมีการใช้ชาวบ้านบุคคลธรรมดาเข้ามาจดหรือไม่ก็ต้องตรวจสอบกันอีกครั้ง ซึ่งหลังจากนี้ก็จะต้องมีการร่วมกับเจ้าคณะตำบลในพื้นที่ มาตรวจสอบโดยระเอียดอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้
ขณะที่ พระพยอม กล่าวว่า ทำแบบนี้เพื่อให้เกิดบรรยากาศเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ แต่ฟังไม่รู้เรื่องอาตมาว่าเป็นการคิดปรุงแต่งให้แปลก ให้พิสดาร และแลดูขลังไม่รู้ว่าขลังความฉลาด หรือขลังความโง่ ถ้าใครเห็นพระทำแปลก ๆ อย่าไปตื่นเต้นกังวล ให้รู้ว่าไม่มีอะไรจะทำได้แค่ระยะเดียว เดี๋ยวก็ดับไปไม่ถาวร ถือเป็นเนื้องอกที่ออกมาจากความคิด การฟอกจิตต้องทำด้วยมีสติเรียกว่าอานาปานสติ เพื่อให้เกิดพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สติเท่านั้นจะฟอกใจได้ดีที่สุด อย่าทำอะไรให้พิสดาร เอาที่สวดกันอยู่ทุกวันนี้ให้ขึ้นใจ มาสวดแบบนี้ไม่เคยมี อาตมาเพิ่งเคยเห็นไม่รู้คิดได้ยังไง เอาสมองส่วนไหนมาคิด จิตจะบริสุทธิ์ต้องมีศิลป์บริสุทธิ์ อยู่กับปัญญาดีที่สุด อย่าอยู่กับความงมงาย สวดตามที่ทำกันมา อย่าคิดแยกแปลกไป มันจะเกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไปแน่นอน