ตำรวจรวบ “เบสท์” คาบ้านพัก หลังศาลออกหมายจับเป็นมือสังหาร “เบิร์ด” เจ้าตัวท่าทีเรียบเฉย ขณะที่ทีมข่าวได้หลักฐานใหม่ “เบสท์” ขี่รถจยย.โผล่ใกล้บ้านผู้เสียชีวิต ช่วง 2 เมษายน ก่อนพบศพในบ้านพัก
ทีมข่าวได้รับทราบข้อมูลจากกู้ภัยในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ว่าวันที่ 4 เมษายน ได้รับแจ้งเหตุ พบศพนายเบิร์ด อายุ 34 ปี เสียชีวิตในบ้านพัก บริเวณถนนกาญจนวนิช ต.พังลา อ.สะเดา จ.สงขลา นอนคว่ำเสียชีวิตกลางบ้านพัก โดยมีรอยฟันบริเวณด้านหน้าลำตัว ปากและหลัง จากผลตรวจชันสูตรศพพบว่า เสียชีวิตมาแล้ว 3-4 วัน โดยผู้ที่พบศพในบ้านพักคือแม่ของผู้เสียชีวิต
ล่าสุดศาลจังหวัดนาทวีได้ออกหมายจับ นายอนุชา หรือ เบสท์ อายุ 22 ปี ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จากนั้นทางตำรวจได้ตามไปรวบตัว “เบสท์” ช่วง 03.00 น. ของวันนี้ (10 เมษายน) โดยรวบตัวที่บ้านพักของนายเบสท์ในชุมชน ถ.หน้าสถานีรถไฟ อ.สะเดา พร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ซึ่งคาดว่าเป็นรถที่นายเบสท์ขี่ไปก่อเหตุ
เมื่อคุมตัวนายเบสท์มาที่โรงพัก ตำรวจนำหมายจับให้นายเบสท์ดู ว่าเป็นบุคคลลตามภาพที่ถูกออกหมายจับคดีฆาตกรรมนายเบิร์ด ก่อนคุมตัวนายเบิร์ดเข้าห้องขัง ตรวจสอบประวัติเพิ่มเติมพบว่าเจ้าตัวเคยถูกดำเนินคดี เสพยาเสพติดถึง 2 ครั้งก่อนหน้านี้
จากการสืบสวนเบื้องต้น พบเบสท์คือคนขโมยรถจยย.ผู้เสียชีวิต ก่อนนำไปขายจำนำในราคา 10,000 บาท ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ คาดมีความขัดแย้งกับเบิร์ด จึงลงมือสังหาร
วันนี้ทางตำรวจสภ.คลองแงะ ได้คุมตัวนายเบิร์ดมาสอบปากคำหลังจากที่รวบตัวจากบ้านพักช่วง 03.00 น.ที่ผ่านมา เจ้าตัวมีสีหน้าเรียบเฉยและไม่ได้มีท่าทีสำนึกผิดขณะที่ถูกคุมตัวมาสอบปากคำ ก่อนที่เข้าห้องสอบสวนเราได้พยายามสอบถามนายเบิร์ดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าปมที่นายเบิร์ดก่อเหตุจากความขัดแย้งเรื่องขโมยรถของนายเบิร์ดไปขายจำนำใช่หรือไม่ และนายเบสท์ได้ก่อเหตุฆาตกรรมเบิร์ดช่วงวันที่เท่าไหร่ แต่เจ้าตัวไม่ตอบคำถามแต่พูดประโยคซ้ำๆตอบกลับมาว่า “ไม่ได้ทำ”
ก่อนตำรวจคุมตัวสอบปากคำใช้ระยะเวลาประมาณ 20 นาที สุดท้ายเจ้าตัวยอมรับกับตำรวจว่าเป็นคนฆาตกรรมนายเบิร์ด ตำรวจจึงรีบคุมตัวนายเบสท์ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพทันที
โดยจุดแรกที่ทางตำรวจได้คุมตัวนายเบสท์ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ คือบ้านพักของนายเบิร์ด ผู้เสียชีวิต จากการสืบสวนทราบว่า มีพยานที่เห็นเหตุการณ์ขณะนายเบสท์เข้ามาที่บ้านพักหลังนี้ในวันที่ 31 มีนาคม
โดยเพื่อนของนายเบิร์ดได้มาส่งเบิร์ดที่บ้านพักในช่วงประมาณ 18:00 น. ของวันที่ 31 มีนาคม เมื่อมาถึงก็พบว่านายเบสท์นั่งรออยู่ที่หน้าบ้านพักอยู่แล้ว ต่อมาวันที่ 1 เมษายน ช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. เบิร์ดยืมรถจักรยานยนต์ของนายเบสท์ไปร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของกิน จากนั้นวันที่ 2 เมษายน เบสท์ขี่รถออกมาจากบ้านพักของเบิร์ด จึงยังไม่สามารถระบุได้ว่าเบิร์ดเสียชีวิตในวันที่ 1 หรือ 2 เมษายนเนื่องจากทางผู้ต้องหายังไม่ยอมรับสารภาพ ว่าฆาตกรรมตอนไหน เนื่องจากช่วง 23.48 น. วันที่ 1 เมษายน เบิร์ดยังส่งข้อความทักมาหาแม่
ในส่วนที่รถของเบิร์ดหายไป ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เบิร์ดไปกินเหล้าที่บ้านเบสท์ และจอดรถจยย.ของเบิร์ดไว้ที่ปากทางบ้านพักเบสท์ พอกินเหล้าเสร็จแล้วกำลังจะกลับบ้าน พบว่ารถหายไป เค้นเพื่อนใกล้ชิด ยอมรับต่อมาว่าเบสท์และมอส ซึ่งเป็นเพื่อนเบิร์ดเอารถไปขายจำนำ ได้เงิน 10,000 บาท จากนั้นเอารถให้หมิว เพื่อนมอสไปขายให้อีกบุคคลที่รับซื้อของโจร ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์
นายเบสท์บอกกับทีมข่าวว่า สาเหตุที่ลงมือฆ่าเพื่อน เพราะเพื่อนเมายาเสพติด แล้วผู้ตายจะเอาค้อนมาทุบหัวตนก่อน ตนจึงก่อเหตุดังกล่าว
จุดที่สองที่ตำรวจพาตัวนายเบสท์ ผู้ต้องหา ไปชี้จุดเพิ่มคือจุดที่อ้างว่าทิ้งมีด อยู่ภายในพุ่มไม้กลางป่า ระยะทางห่างจากบ้านหลังเกิดเหตุ 6 กิโลเมตร อ้างว่าหลังจากฆ่าเบิร์ดเสร็จแล้ว ได้นำมีดสปาต้าที่เปื้อนเลือด มาโยนทิ้งตรงจุดนี้
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามค้นหาหลักฐาน ตามจุดที่นายเบสท์กล่าวอ้าง แต่ไม่พบ อาวุธมีดแต่อย่างใด คาดว่าให้การโกหก แต่ต่อมาทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหา จึงพยายามค้นหาของกลางบริเวณใกล้เคียงจากจุดที่นายเบสท์ให้การว่าทิ้งมีด กระทั่งไปเจอมีดที่ถูกทิ้งซุกซ่อนไว้ข้างทางในป่าห่างจากจุดที่ผู้ต้องหาอ้างว่าทิ้งมีดประมาณ 30 เมตร โดยมีการอำพรางหลักฐานก่อนที่จะทิ้ง นำกระดาษสีน้ำตาลมาหอมมีดและใส่ถุงพลาสติกมัดไว้อย่างดีก่อนทิ้งในป่ารก เมื่อทางตำรวจเจอของกลางและได้นำตัวนายเบสท์มาชี้ของกลางปรากฏว่า หน้านายเบสท์ถอดสีอย่างชัดเจน
จากนั้นจุดสามที่คุมตัวนายเบสท์ ผู้ต้องหาทำแผน คือที่บ้านของเจ้าตัว อยู่ภายในชุมชนหลังสถานีรถไฟคลองแงะ เพื่อค้นหาหลักฐานสำคัญอีก 2 ชิ้น นั่นก็คือเสื้อผ้าที่ผู้ต้องหาใส่ในวันก่อเหตุ และโทรศัพท์ของผู้ตายที่นายเบสท์นำไปหลังก่อเหตุ โดยนายเบสท์(ผู้ต้องหา)อ้างว่าได้นำเสื้อผ้ามาจุดไฟเผาทิ้งอยู่บริเวณหน้าบ้าน แต่จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ กลับไม่พบร่องรอยการเผาแต่อย่างใด ส่วนโทรศัพท์มือถือ ของผู้ตาย นายเบสท์อ้างว่าไม่ได้เอาไป ซึ่งตำรวจเชื่อว่านายเบสท์ให้การโกหก
ทีมข่าวพยายามสอบถามข้อเท็จจริงจากนายเบสท์อีกรอบ คราวนี้เจ้าตัวปฏิเสธการตอบคำถาม แต่เมื่อถามถึงกรณีการเอารถจักรยานยนต์ของผู้ตายไปจำนำแล้วไม่รับผิดชอบ นายเบสท์ ตอบเพียงสั้นๆ ว่า "ผมใช้คืนไปแล้ว 5,000 บาท" ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวขึ้นรถไป
หลังทำแผนประกอบคำรับสารภาพเสร็จตำรวจได้แวะไปที่โรงรับซื้อเศษยาง เพื่อไปหาเบาะแสเพิ่ม เนื่องจากคดีนี้ต้องแยกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือคดีฆาตกรรม ผู้ต้องหาคือนายเบสท์ และส่วนที่สองคือคดีขโมยรถจักรยานยนต์ของผู้เสียชีวิตแล้วนำไปขายจำนำต่อ
พบมีผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด 4 คน คือ นายเบสท์และนายมอส ร่วมกันขโมยรถของผู้เสียชีวิตก่อนเอารถนั้นไปฝาก หมิว (นามสมมติ) เพื่อให้มาเอารถไปขายต่อให้กับบุคคลหนึ่ง ล่าสุดมาเอารถของผู้เสียชีวิตมาคืนให้ตำรวจแล้ว / อยู่ระหว่างการตามตัวนายมอสและบุคคลที่ซื้อรถมาสอบปากคำและดำเนินคดี
ยืนยันมีหลักฐานมัดตัวแน่น โดยมีการนำเสื้อผ้าที่เช็คคราบเลือดและปลอกมีดไปตรวจดีเอ็นเอ โดยแม่ของผู้เสียชีวิตจะไปแจ้งความคดีรถลูกชายหายในวันพรุ่งนี้