กรณี ทนายรณรงค์ แก้วเพชร ซึ่งได้รับโทรศัพท์จาก นางสาวมะลิ (นามสมมติ) อายุ 46 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของ นายขาว (นามสมมติ) อายุ 52 ปี โดยโทร. มาร้องไห้พร้อมกับขอความช่วยเหลือ บอกว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งอ้างตัวเองว่าทำงานอยู่ในวัง หลอกจนกระทั่งเสียเงินกว่า 1 ล้านบาท และยังถูกฟ้องดำเนินคดีในหลายข้อ ซึ่งตัวของนายขาวได้ตัดสินใจผูกคอตาย แต่นางสาวมะลิพร้อมกับลูกสาววัย 11 ขวบ เข้าไปช่วยเหลือได้ทัน จึงได้โทร. มาขอความช่วยเหลือและปรึกษาเกี่ยวกับข้อมูลทางกฎหมาย ก่อนที่จะปรากฏคลิปว่ามีลูกสาวเข้าไปนั่งร้องไห้ และคุยกับพ่อทำนองว่าไม่อยากให้พ่อจากไปไหน นั้น


วันนี้ (1 มี.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ติดตามความคืบหน้า โดยได้เดินทางไปเจอกับนายขาว (นามสมมติ) ผู้เสียหาย ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา เผยว่า สิ่งที่ทำให้ตนเองตัดสินใจคิดสั้นและอยากตะจากโลก และอยากจะจากลูกสาววัย 11 ขวบรวมถึงภรรยา เป็นเพราะก่อนหน้านี้ถูกไล่ออกจากราชการ ถูกให้ออกเมื่อเดือนตุลาคม 2566 ภายหลังไปรู้จักกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทร. หานางสาวมะลิ ภรรยา แล้วไปเกี่ยวข้องกับการใช้เอกสารในหน่วยออกเอกสารให้กับกลุ่มแก๊งดังกล่าว จนกระทั่งถูกไล่ออก แล้วยังมีหนี้สินที่เพิ่มขึ้นจากการที่คนรอบข้าง และคนรู้จักมาร่วมลงทุนแต่เงินถูกโอนไปให้กับกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมแล้วกว่า 1 ล้านบาท




แต่เหตุผลที่ทำให้ตนเองตัดสินใจผูกคอตายเมื่อคืนนี้ แล้วภรรยากับลูกมาเจอเป็นเพราะช่วงเช้าวันเดียวกันมีหมายศาล ซึ่งที่ทำงานต้นสังกัดมีการฟ้องดำเนินคดีทั้งตนเองและภรรยา ใน 3 ข้อหา คือ ปลอมแปลงเอกสาร, พ.ร.บ.คอมฯ และฉ้อโกง จึงทำให้ตนเองเกิดความเครียดและกดดัน ที่ก่อนหน้านี้ตกงาน มีหนี้สินเพิ่มเพราะถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก แล้วยังถูกทางต้นสังกัดที่ตนเองทำงานมาด้วยเกือบ 40 ปีฟ้อง จึงเกิดความเครียดและกดดัน เลยตัดสินใจที่จะก่อเหตุดังกล่าว


และส่วนตัวยืนยันว่า สิ่งที่ทำให้ตนเองเป็นตราบาปอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เกิดจากสิ่งที่ตนเองทำ แต่เกิดจากการถูก ดร. คนหนึ่งหลอก จนทำให้ตนเองต้องมีการหลงผิด โดยการใช้เอกสารซึ่งเป็นส่วนงานราชการภายในออกเอกสารดังกล่าวตามที่ ดร. คนดังกล่าวบอก จากนั้นจึงกลายเป็นถูกให้ออกจากงานออกจากราชการ และสุดท้ายก็มาถูกฟ้องดำเนินคดี ส่วนตัวจึงค่อนข้างเครียดและไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร และการที่ครอบครัวตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ก็เป็นเพราะถูกหลอกซ้ำซาก และไปมัวแต่หลงเชื่อคนอย่าง ดร. ท่านนี้




อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวอยากจะฝากถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือแก๊งของ ดร. คนดังกล่าว อยากให้ออกมาแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะตนเองกำลังถูกฟ้องดำเนินคดีจากการกระทำของคนพวกนั้น และตนเองกำลังเดือดร้อนที่ยังหาทางกับชีวิตไม่ได้


ด้าน นางสาวมะลิ (นามสมมติ) ภรรยาของผู้ถูกกล่าวหา เปิดใจว่า ตนเองคือคนที่สร้างปัญหาให้กับครอบครัว และเป็นคนที่ดึงเอา ดร. คนดังกล่าว ที่อ้างว่าทำงานหน่วยงานรัฐ โดยครั้งแรกที่รู้จักกับ ดร. คนนี้ ได้มีโทรศัพท์ปริศนาโทร. เข้ามาช่วงเดือนมกรามกราคม ปี 2566 และมีการพูดถึงภูมิหลังและคนในครอบครัวลักษณะรู้ข้อมูลทั้งหมด หลังจากแนะนำตัวก็มีการพูดถึงตำแหน่งและหน้าที่การงานของสามี ก่อนที่จะพูดถึงรายการหนี้สินที่มี เช่น คอนโด บ้าน ผ่อนรถ จากนั้นก็มีการยื่นข้อเสนอว่า อยากให้ลูกสบายให้ทำงานเพื่อการกุศลและมูลนิธิที่ขึ้นตรงกับหน่วยงานนี้ จากนั้นจะทำผลงานให้ผ่านมูลนิธิ โดยให้ไปช่วยเหลือโรงเรียนยากไร้ ผู้ป่วย หรือคนไร้บ้าน หากช่วยเหลือเป็นไปตามเป้าแล้ว สามารถเสนอชื่อให้เข้ารับราชการที่ทำงานเดียวกันกับสามีได้


ตนเองหลังจากที่ได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์ ก็ได้เข้ามาปรึกษากับสามีซึ่งทำงานอยู่ในสังกัดอยู่แล้ว โดยก็เข้าใจว่าทั้งข้อมูล ที่มีการพูดคุยทางโทรศัพท์ รวมถึงความเป็นไปได้ก็เลยตัดสินใจนัดเจอกัน ที่คอนโด ย่านบางพลู โดยครั้งแรกที่เจอกับ ดร. คนนี้ เจ้าตัวได้มาพร้อมกับทีมงาน ซึ่งมีผู้หญิงที่เป็นเลขา 1 คน และผู้ชายอีก 3-4 คน บอกว่าเป็นคณะทำงานในกองทุนหนึ่ง โดยเข้ามานั่งพูดคุยเพื่อที่จะให้ไปทำงานสร้างผลงานก่อนที่จะได้บรรจุ การเจอกันครั้งนั้น ดร. ท่านนี้ มีการสวมชุดสูท แต่งกายดี และมีบัตรราชการติดอยู่ ซึ่งเป็นผู้หญิงลักษณะอวบ ผมบ๊อบ มาพร้อมกับทีมงานนั่งพูดคุยกับกับตนเอง และสั่งให้ไปทำงานแรก คือ ลงไปที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปช่วยเหลือโรงเรียนที่ยากไร้


โดยให้ตนเองใช้เงินส่วนตัวบริจาคให้กับกิจกรรมโรงเรียน จ่ายเงินอุดหนุนครู ภารโรง และกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน ด้วยตนเองใช้งบในแต่ละกิจกรรม ครั้งละหลักหมื่นไปจนกระทั่งถึงหลักแสน รวมเบ็ดเสร็จ 350,000 บาท แต่ยังไม่รวมถึงค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ที่จะต้องบินลงไปพร้อมสามีและลูกเพื่อไปทำกิจกรรมดังกล่าว


หลังจากการทำกิจกรรมครั้งแรก ช่วงเดือนมกราคม 2566 ปรากฏว่า มีการเจอกันอีกหลายครั้งรวมเบ็ดเสร็จประมาณ 5 ครั้ง ดร. คนดังกล่าว บอกกับตนเองว่าการทำผลงานที่โรงเรียนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ยังสร้างผลงานไม่ได้เพียงพอ และไม่สามารถที่จะบรรจุเข้ารับราชการได้ จึงอยากให้สร้างโปรเจ็กที่ใหญ่ ด้วยการไปช่วยเหลือคนยากไร้ คนป่วยไร้เงินรักษา หรือปลดหนี้ให้กับคนที่เป็นหนี้ โดยให้ตนเองไปรวบรวมรายชื่อเพื่อที่จะนำรายชื่อเหล่านั้น ส่งให้กับหน่วยงานและการส่งรายชื่อไปนั้นจะต้องใช้หัวเอกสารซึ่งเป็นบันทึกข้อความจากส่วนงานภายใน มีการระบุชื่อเพื่อที่จะส่งขึ้นไป จนเป็นเหตุทำให้สามีของตนเองต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะเป็นคนออกหนังสือดังกล่าว




จากนั้นโปรเจ็กที่ 2 ที่ทำการต่อเนื่อง เป็นช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 กลางปี ตนเองได้รวบรวมผู้ที่มีปัญหาด้านการเงิน ไร้บ้าน เป็นคนไข้ที่ไม่มีเงินรักษา โดยรวบรวมได้ประมาณ 10 ถึง 15 คน แต่โครงการนี้ มีข้อแลกเปลี่ยน คือ จะต้องให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการวางเงินค้ำประกัน เช่น จ่าย 10,000 บาท หากสร้างบ้านแล้วเสร็จจะได้เงินเป็นแคชเชียร์เช็กคืนทันที 700,000 บาท และผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องจ่ายเพิ่มอีก 3,000 บาท เพื่อสำหรับอุดหนุนและบริจาคให้กับผู้ยากไร้ แล้วมีการจ่ายส่วนต่างเพิ่มอีก 1,000 กว่าบาท เพื่อเป็นค่าดำเนินการ จึงทำให้โครงการดังกล่าวมีผู้สนใจ ทั้งข้าราชการราชการ คนใกล้ชิดสามี ครู และชาวบ้านต่างจังหวัด มีการมาร่วมในโครงการดังกล่าวพร้อมกับมีการจ่ายเงินหลัก 10,000 บาท ไปจนกระทั่งถึง 50,000 บาท และเงินที่ตนเองได้จากการวางค้ำประกันค้ำก็ได้โอนไปให้บัญชี ดร. คนนี้ ทั้งหมด โดยมีการโอนไปไม่ซ้ำบัญชี ซึ่งรวมมีประมาณ 5 บัญชี ที่ตนเองมาทราบภายหลังว่าเป็นบัญชีม้า


และหลังจากที่ทำโปรเจ็กดังกล่าวเสร็จแล้ว ผู้ที่มาร่วมในกองทุนเริ่มที่จะสอบถามเกี่ยวกับแคชเชียร์เช็กที่ได้รับ ตามวันเวลาที่อ้างว่าหลังจากมีการวางเงินค้ำประกันแล้วจะได้เงิน ปรากฏว่าตัวของ ดร. และทีมงานเริ่มติดต่อไม่ได้ จนกระทั่งตนเองถูกกลุ่มผู้เสียหายเข้าแจ้งความดำเนินคดีฉ้อโกง แต่หลังจากนั้นก็พยามติดต่อกับผู้เสียหายเพื่อที่จะหาเงินมาคืนด้วยตนเอง เพื่อที่จะลดปัญหาเรื่องการถูกฟ้องดำเนิน เพราะคนที่เอาเงินไปคือแก๊งของ ดร. แต่ตนเองไม่ต้องการที่จะให้เกิดปัญหาจึงพยายามหาทรัพย์สินที่มีอยู่ไปขายเปลี่ยนเป็นเงินแล้วทยอยคืนบ้างบางส่วน แต่ก็มีบางส่วนที่อยู่ระหว่างการเจรจา


จนถึงกระทั่งเมื่อวานนี้ช่วงเช้า ปรากฏว่ามีหมายศาล มีการฟ้องดำเนินคดีตนเองและสามี ใน 3 ข้อหา คือ ปลอมแปลงเอกสาร, พ.ร.บ.คอมฯ และฉ้อโกง ซึ่งหลังจากที่ตนเองและสามีได้รับเอกสารดังกล่าว ก็ยอมรับว่าเครียดและกดดันอย่างมาก เพราะก่อนหน้าถูกไล่ออกจากราชการ ก็ถือว่าแรงพอสำหรับครอบครัวตนเองแล้ว แต่กลับถูกหน่วยงานต้นสังกัดฟ้องดำเนินคดีอีก จึงทำให้สามีตนเองเครียด หลังจากได้รับหมายศาล ก็เดินมาบอกตนเอง ว่า “เราไปพร้อมกันทั้ง 3 คนเถอะ สู้ต่อไม่ไหวแล้ว” แต่ตนเองก็ดึงสติสามี แล้วพากันให้ลุกขึ้นสู้ ถ้าหากไม่คนก็จะมองว่าเราเป็นคนผิด จากนั้นตนเองก็ออกไปข้างนอกบ้าน และเป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่สามีแอบถือสายไฟสีดำเข้าไปก่อเหตุ ซึ่งโชคดีที่ตนเองกับลูกสาววัย 11 ขวบ เข้าไปเจอจึงช่วยได้ทัน แล้วระหว่างนั้นก็พยายามติดต่อกับทนายรณณรงค์เพื่อที่จะปรึกษา เป็นที่มาของการเข้ามาขอคำปรึกษาในวันนี้


ส่วนตัวในฐานะที่เป็นคนดึง ดร. คนดังกล่าว เข้ามาวุ่นวายในชีวิตครอบครัวจนเป็นเหตุทำให้ทุกอย่างพังไปหมด อยากจะฝากถึงแก๊งดังกล่าวว่าให้ออกมาแสดงตัวและรับผิดชอบต่อการกระทำ เพราะมันกำลังสร้างตราบาป และทำให้ครอบครัวตกอยู่ในสภาพที่สู้หน้าทางสังคมกับใครไม่ได้ ประกอบกับหมดเงินหมดทอง และหมดอาชีพหน้าที่การงาน เพราะการกระทำของกลุ่มคนดังกล่าวที่อ้างเบื้องสูง


และภายหลังการให้สัมภาษณ์ นางสาวมะลิ ได้มีการส่งแชตข้อความ ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าหลังจากถูกหลอก และรู้ตัวว่า ดร. คนดังกล่าว ใช้บัญชีม้าในการรับโอนเงินจนเป็นเหตุทำให้ถูกฟ้องดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง ซึ่งเจ้าตัวมีการไปตรวจสอบบัญชีม้า 5 บัญชี จนกระทั่งไปเจอเฟซบุ๊กของเจ้าของตัวจริง แล้วได้มีการทักข้อความไปหา ทำนองว่าเป็นเจ้าของบัญชีจริงหรือไม่ แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับทาง ดร. แต่ปรากฏว่าปลายทางซึ่งเป็นบัญชีม้าก็ยอมรับว่าเป็นเจ้าของบัญชีจริง แต่มีการขายให้กับคนอื่นไปแล้วในราคา 700 บาท ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องอะไร แต่มีการเปิดบัญชีแล้วขายส่งต่อจริง




วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวยังได้เดินทางไปเจอกับ นางสาวดอกเข็ม (นามสมมติ) หนึ่งในผู้เสียหาย ที่ออกมาแสดงตัวว่าถูก 2 ผัวเมียมีการหลอกให้มีการลงทุนและวางเงินค้ำประกันในโครงการขอรัฐ เผยว่า ส่วนตัวคือคนที่อยู่ในสายของครูและข้าราชการ ที่มีเครือข่ายที่ถูกหลอก 8-9 คน เป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 80,000-90,000 บาท


โดยโครงการที่ 2 ผัวเมียชักจูงให้เข้าไปร่วม อ้างว่าเป็นโครงการช่วยสร้างบ้านและซ่อมบำรุงบ้าน ซึ่งจะได้รับเงินจากโครงการเนื่องในวันมงคล โดยจะมีเงินก้อนหนึ่งซึ่งถูกจัดสรรผ่านกองทุน จากนั้นจะให้ผู้ที่มีรายชื่อเสนอเข้าไปที่ในวัง เพื่อที่จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปซ่อมแซมบ้านหรือสร้างบ้าน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย


แต่ช่วงหลัง 2 ผัวเมีย อ้างว่า โครงการในกองทุนดังกล่าวมีปัญหา เพราะเนื่องจากมีคนเสนอหรือส่งชื่อก่อนหน้านี้ มีการถอนตัวออกไปจากกองทุน จึงทำให้กองทุนได้รับความเสียหาย เพราะมีรายชื่อขาดหายและตกหล่น ดังนั้นจึงได้มีการเพิ่มระเบียบใหม่ขึ้นมา โดยคนที่จะเข้าร่วมจะต้องมีการวางเงินค้ำประกัน เพื่อยืนยันว่าการเข้าร่วมกองทุนแล้ว จะไม่มีการถอนชื่อออกระหว่างทางเพื่อเป็นหลักประกัน โดยจะต้องจ่าย 10,000 บาท เพื่อแลกกับเงินที่จะได้จำนวน 700,000 บาท จากกองทุนช่วยเหลือ จากนั้นจะต้องมีการจ่ายเพิ่มอีก 3,000 บาท เพื่อสำหรับช่วยเด็กยากไร้ ดังนั้นก็จะต้องมีการจ่าย ในการเข้าร่วมโครงการต่อชื่อคนละ 13,000บาท




สำหรับส่วนตัวรู้จักกับ 2 ผัวเมีย เพราะเนื่องจากเป็นครูสอนพิเศษ แล้วได้รับการติดต่อจากครูอีกคน ให้ไปช่วยสอนพิเศษให้กับลูกสาวของบ้านดังกล่าว จนกระทั่งไปรู้จักว่าทั้งคู่ทำงานอยู่ในวัง โดยทั้งคู่ก็ได้มีการพูดถึงแต่เรื่องเบื้องสูง และรวมถึงบุคลากรคนใกล้ชิด (องคมนตรี) แล้วมีการชักจูงจนกระทั่งพูดถึงโครงการทุนมณีทิพย์ และการเข้าร่วมเป็นรายชื่อในการรักษาของวัง


และจากกรณีที่ทั้งคู่ได้มีการออกมาให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว และรวมถึงขอให้ทนายมีการช่วยเหลือ โดยอ้างว่ามีบุคคลที่ 3 คือ ดร. คนหนึ่ง รวมถึงกลุ่มแก๊งที่อยู่ในเครือข่ายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ส่วนตัวไม่เชื่อว่า ดร. คนดังกล่าว มีตัวตนอยู่จริง เพราะไม่เคยมีการพูดถึง และไม่เคยที่จะกล่าวถึง แต่ทั้งคู่เป็นคนที่มีข้อมูลและรู้เรื่องราวและเป็นคนพูดออกมาเองทั้งหมด จึงไม่เชื่อว่ามีบุคคลเหล่านั้นหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่จริง แต่เกิดจากการตั้งใจหลอกหรือการแต่งเรื่องของ 2 ผัวเมีย ที่แต่งเรื่องขึ้นเองแล้วหลอกผู้เสียหาย


จนกระทั่งวันหนึ่งเรื่องเกิดบานปลายหรือมีคนรู้เรื่อง ว่าทั้งคู่กำลังหลอกจึงได้มีการเอาชื่อคนอื่นมาแอบอ้างว่ามีบุคคลที่ 3 ดังนั้นส่วนตัวและรวมถึงผู้เสียหายทั้งหมดไม่มีใครเชื่อ แต่เข้าใจว่าทั้งคู่รู้เห็นและเป็นคนสร้างกระบวนการนี้ขึ้นมาเอง เพราะเคยหลุดปากออกมากับกลุ่มผู้เสียหายทำนองว่า ทำโครงการนี้มานานกว่า 9 ปีแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่งไปรู้จักกับ ดร. ดังกล่าว เมื่อมกราคม 2566

หนุ่มหวังลาโลก! ถูกแก๊งคอลฯ หลอกสูญนับล้าน ภาพบีบหัวใจลูกกอดพ่อขอชีวิต