ความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีสังหารโหดพนักงานปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.บ้านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม เสียชีวิต 2 ราย คือ นายพรมจัก อายุ 33 ปี พนักงานชาวลาว รวมถึง น.ส.วิชุดา วัย 50 ปี ชาวบ้านดอนม่วง จ.นครพนม เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา แต่คนร้ายก่อเหตุยังหลบหนี จนกระทั่งภายหลังมีการสืบสวน หาเบาะแสจนกระทั่งมีการจับกุม ส.อ.กฤษณะพล อายุ 38 ปี พลขับทั่วไปสังกัด กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 ตรวจค้นบ้านพักมีอาวุธปืนสงครามเถื่อน อาก้า พร้อมกระสุนปืนหลายนัด อ้างว่าซื้อมาส่วนตัวเนื่องจากเคยไปทำงานที่ชายแดน จ.สุรินทร์ เจ้าหน้าที่จึงดำเนินคดี มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน สงครามไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และมีการคุมตัวไปฝากขังที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี

 

เนื่องจากคดีนี้ผู้ก่อเหตุคือทหารซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เกิดเหตุเพียงแค่ประมาณ 7 กิโลเมตร ทีมข่าวจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับคนในค่ายทหาร ที่ออกมาจากนอกพื้นที่ โดยเล่าให้กับทีมเขาขอฟังว่า สิบเอกพล คนก่อเหตุนั้นเพิ่งย้ายมาจากค่ายทหารแห่งหนึ่งในภาคใต้ได้เพียงแค่ประมาณสองถึงสามเดือน ซึ่งมีข้อมูลว่าอาวุธสงครามที่ใช้ก่อเหตุ ปืน SKS เป็นอาวุธสงครามที่ สิบเอกพลนำมาจากภาคใต้ เนื่องจากเป็นอาวุธสงครามที่แทบหาได้ยากในโซนภาคอีสาน และเชื่อว่าในค่ายทหารที่ผู้ก่อเหตุอาศัยอยู่นี้คงไม่มีใครมีอาวุธสงครามลักษณะนี้

 

และปกติแล้วไม่สามารถนำอาวุธสงครามแบบนี้มาเก็บไว้บ้านพักส่วนตัวในค่ายทหารได้และสามารถนำเข้ามาในค่ายทหารในนามส่วนตัวได้ แต่เนื่องจากว่า 11 คนแสดงตัวเป็นทหารเข้ามาในค่ายจึงทำให้ไม่มีการตรวจค้นเจอว่ามีอาวุธสงครามอยู่ในรถ

 

วันนี้ทีมข่าวของเราย้อนกลับไปที่ปั๊มน้ำมันบริเวณจุดเกิดเหตุอีกครั้ง ซึ่งเจอกับนางน้อยชาวลาวซึ่งเป็นพี่สาวของนายเซลล์ผู้เสียชีวิต ยังคงเปิดใจกับทีมข่าวว่าตอนนี้มืดแปดด้านเพราะมองไม่เห็นว่าครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างตัวเองได้รับความเป็นธรรมจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรเนื่องจากตำรวจไม่สามารถระบุถึงสาเหตุ ที่ สิบเอกพลมาก่อเหตุฆ่าน้องชายตัวเองถึงปั๊มโดยที่ไม่ได้มีเหตุโกรธเคืองหรือมีความสัมพันธ์กันมาก่อนหน้านี้

 

โดยนางน้อย จำลองเหตุการณ์สาธิตในวันที่ตัวเองมาเจอศพน้องชายนอนเสียชีวิตอยู่กับนางสาวนันเพื่อนพนักงานในปั๊มอีกคนหนึ่ง คือบริเวณหน้าตู้กระจกสีดำซึ่งเป็นห้องพักของตัวเองและน้องชายนอนที่นั่น ตอนนั้นมาถึงเห็นว่านางสาวนันนอนเสียชีวิตโดยมีรถจักรยานยนต์ของนางสาวนันนั้นล้มทับอยู่ส่วนนายเซลล์น้องชายตัวเองก็นอนเสียชีวิตอยู่ใกล้กับนางสาวนัน

 

จุดสังเกตก็คือว่าปกติแล้วรถจักรยานยนต์ของนางสาวนันนั้นไม่ได้จอดอยู่บริเวณจุดที่เสียชีวิตแต่เชื่อว่านางสาวนันกำลังจะเดินทางกลับบ้าน แต่เจอกับคนร้ายจึงพยามขับมาที่บริเวณหน้าห้องตู้กระจกซึ่งเป็นห้องพักของนายเซลล์ สอดคล้องกับสภาพของนายเซลล์ที่ใส่แค่เพียงกางเกงบ๊อกเซอร์หนึ่งตัวเท่านั้น ซึ่งหมายถึงว่ากำลังจัดเตรียมนอนแล้วเพราะเป็นช่วงเวลาหลังปั๊มปิดพอดี จึงเชื่อได้ว่าคนร้ายตั้งใจก่อเหตุกับนางสาวนันแล้วนางสาวนันมาขอความช่วยเหลือจากนายเซลล์จนเป็นเหตุต้องฆ่านายเซลล์ด้วย

 

ที่สำคัญคือหลังจากเกิดเหตุพบว่ารถจักรยานยนของนางสาวนัน เปิดไฟเลี้ยวซ้ายอยู่ นั่นหมายถึงว่านางสาวนันกำลังจะออกจากปั๊มเพื่อเลี้ยวซ้ายเดินทางกลับบ้าน

 

ทีมข่าว ช่อง 8 ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ศรายุทธ อรุณฉาย รอง ผกก.ฝ่ายอำนวยการ 5 กองบังคับการอำนวยการ บช.น. เปิดเผยว่า ปืน SKS หรือในสมัยด็กๆ เราเรียกว่า “เซกาเซ” เป็นปืนขนาด 7.62x39 ใช้กระสุนเดียวกับอาก้า ซึ่งมีในสมัยก่อน ตั้งแต่เรารบกับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ละจังหวัดมีปืนชนิดนี้ ซึ่งที่ จ.นครพนมก็เช่นกัน

 

ปืนพวกนี้พูดตามตรง เดี๋ยวนี้มันหาซื้อไม่ได้แล้ว นอกจากจะเป็นปืนที่เก็บสะสมกันมานาน คือยุคนั้นด้วยความที่มันมีเยอะมาก ซึ่งในอดีตถ้าจำไม่ผิดพอยึดมาหรือเก็บมาได้ก็ทำลาย แต่มันจะหลงเหลือไหม ตนเดาว่าหลงเหลือ หรือหลุดรอดมา แต่ไม่ได้ซื้อมา เพราะปืนมันยาวตั้ง 40 นิ้ว ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับอาก้า ซึ่งในสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็น SKS หรือเซกาเซ / อาก้า จะใช้กระสุนขนาดเดียวกัน คือ ลูกกระสุน 7.62x39 มม. ซึ่ง 39 คือความยาวของปลอกกระสุน

 

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนไม่ทราบว่าคนก่อเหตุใช้ปืนชนิดนี้จริงหรือเปล่า และยังไม่เห็นบาดแผล จากที่เข้าใจถ้าโดนปืนชนิดนี้ยิง พูดภาษาชาวบ้านว่า “ศพไม่สวย” จึงไม่แน่ใจว่าจะใช้ขนาดนี้จริงไหม ต้องรอผลจากการสอบสวน

 

หนึ่งในสามข้อหาที่ตำรวจขอศาลออกหมายจับเอกพลคนก่อเหตุฆ่าเด็กปั๊มเสียชีวิตสองคนในจังหวัดนครพนม คือข้อหาลักทรัพย์

 

ซึ่งทีมข่าวของเราพยามแกะรอยว่า สิบเอกพล พยามเข้าไปลักทรัพย์ในปั๊มน้ำมันดังกล่าวหรือไม่ แต่กลับพบว่าไม่มีทรัพย์สินหายไปและไม่ได้มีเจตนาเข้าไปลักทรัพย์ในปั๊มน้ำมันที่เกิดเหตุ

 

ทีมข่าวจึงแกะรอยหาข้อมูลจนพบว่าข้อหาลักทรัพย์ที่ตำรวจดำเนินคดีกับสิบเอกพลนั้นเป็นการลักทรัพย์ที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งก่อนที่จะไปก่อเหตุที่ปั๊มน้ำมัน

 

ทีมข่าวพบร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งอยู่ห่างจากปั๊มน้ำมันที่เกิดเหตุเพียงแค่ประมาณ 2 กิโลเมตรกิโลเมตรซึ่งพนักงานในร้านสะดวกซื้อยืนยันว่าช่วงเวลาประมาณสองถึงสามทุ่มของคืนวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ที่เกิดเหตุนั้น สิบเอกพล เข้ามาขโมยปลอกแขนที่ขายอยู่ในร้านสะดวกซื้อแล้วเดินออกไปโดยที่ไม่ได้ชำระเงิน

 

ซึ่งมูลค่าของปลอกแขนเพียงแค่ราคา 39 บาทเท่านั้นแต่เชื่อว่าที่ขโมยไปนั้นน่าจะเป็นเพราะรีบไปก่อเหตุ

อึ้งอีก! พลทหารยิง 2 เด็กปั๊มใช้ปืนโบราณสังหาร ที่แท้ดีเอ็นเอสาวติดเสื้อ ทำจบเกมส์