กรณีพบศพนายอาเซ ไค (A SAY KYI) ชาวเมียนมา ถูกฆาตกรรมตัดหัวแยกชิ้นส่วน 6 ส่วน แช่ในตู้แช่ สีขาว บริเวณชั้น 2 ตึกแถวแห่งหนึ่ง ซอยสะแกงาม 35/3 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ

ภายหลัง พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ไปตรวจสอบพบว่า มีนายซันดาราเวล อายุ 23 ปี ชาวอินเดีย นายหน้าจัดหาแรงงานต่างชาติมาทำงานในประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัย เป็นผู้มาขอเช่าไว้พักอาศัยกับนายอาเซ ไค (A SAY KYI) ชาวเมียนมา ผู้เสียชีวิต และเพื่อนอีก 4 คน รวม 5 คน เพื่อรอส่งไปทำงาน โดยที่เกิดเหตุพบเลื่อยตัดกิ่งวางอยู่ใต้เตียง และพบร่องรอยการต่อสู้ คราบเลือดในห้องน้ำ ก่อนหนุ่มชาวอินเดียเดินทางกลับประเทศไป เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมานั้น

 ไทม์ไลน์หนุ่มเมียนมา ก่อนถูกพบเป็นศพถูกหั่น

 

ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ยังได้ภาพนาทีหลังมีนายซันดาราเวล ปกาดีส คูมา และลูกน้องคนสนิทไปเลือกซื้อตู้แช่เเข็งที่ห้างสรรพสินค้า แล้วจ้างพนักงานขนขึ้นรถกระบะสีดำมาส่งที่อาคารที่เกิดเหตุ

วงจรปิดตัวที่ 1 บันทึกนาทีตอนที่รถกระบะสีดำซึ่งเป็นรถของพนักงานส่งตู้แช่แข็ง ขับมาที่บริเวณใกล้อาคารที่เกิดเหตุ จากภาพจะเห็นนาทีที่รถกระบะสีดำเลี้ยวเข้าไปในซอยอาคารที่เกิดเหตุ ช่วง 19.50 น. วันที่19 มกราคม

วงจรปิดตัวที่ 2 จุดที่รถกระบะสีดำจอดเพื่อนำตู้แช่แข็งลงมาจากรถ โดยนาทีนี้อยู่นอกรัศมีกล้องวงจรปิดจึงทำให้ไม่เห็นตอนขนลง แต่จะเห็นนาทีที่หลังขนตู้แช่แข็งลงมาจากรถ แล้วรถกระบะของพนักงานส่งของก็ขับรถออกจากจุดอาคารที่เกิดเหตุ แล้วขับรถออกไปช่วง 20.21 น. ของวันที่ 19 มกราคม

 

ทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้าที่ผู้ต้องสงสัยสองคนไปเลือกซื้อตู้แช่แข็งขนาด 13 คิว ในช่วงเย็นวันที่ 19 มกราคม ก่อนที่จะมาก่อเหตุดังกล่าว โดยพนักงานให้ข้อมูลเพียงว่า อุณหภูมิในตู้แช่แข็ง ติดลบ 18 องศาเซลเชียส ซึ่งขนาดของตู้แช่แข็งที่สามารถยัดศพลงไปได้ต้องมีขนาด 10 คิวขึ้นไป และในส่วนของผู้ต้องสงสัยสองคนที่เลือกซื้อตู้แช่แข็งขนาด 13 คิว ซื้อไปในราคา 13,900 บาท แต่ในส่วนที่ว่าจะแช่แข็งได้นานขนาดไหนและกลบกลิ่นเหม็นได้นานขนาดไหน ตนไม่ทราบข้อมูลในส่วนนี้

ซึ่งทางพนักงานคนที่แนะนำการขายให้กับผู้ต้องสงสัยสองคน วันนี้ไม่ได้มาทำงานเนื่องจากเป็นวันหยุด 

เราได้พูดคุยกับนายไสย (นามสมมติ) เป็นชาวบ้านในจุดเกิดเหตุ เล่าว่า ตึกที่เกิดเหตุเคยมีคนตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อหลายปีนานมาแล้ว จนกระทั่งมาเกิดเหตุล่าสุดอีกครั้ง โดยกลุ่มคนก่อเหตุเป็นคนที่ปรากฏในภาพวงจรปิดขณะทั้งสองเลือกซื้อตู้แช่เย็นมาจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งช่วง 18.28 น. ของวันที่ 19 มกราคม

 

ตนยืนยันว่าชายเสื้อดำที่ปรากฏในภาพวงจรปิดขณะซื้อตู้แช่ที่เป็นชาวอินเดีย เป็นหัวหน้าคนงาน และเป็นผู้ทำสัญญาเช่าตึกที่เกิดเหตุกับเจ้าของ ส่วนชายเสื้อขาวตามวงจรปิด เป็นลูกน้องคนสนิทของชายชาวอินเดีย

เริ่มแรกชายชาวอินเดียพาลูกน้องรวมสามคนมาดูตึกที่เกิดเหตุ ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เนื่องจากสนใจอยากมาเช่าตึก และต่อมาก็มีการทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึก และเพิ่งย้ายมาอยู่ช่วงสัปดาห์ก่อนโดยตนเห็นย้ายมาอยู่ที่ตึกแห่งนี้ประมาณวันที่ 13 หรือ 14 มกราคมที่ผ่านมา

ปกติแล้วชายชาวอินเดียจะมีลูกน้องที่สนิทสองคน ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ซึ่งชายชาวอินเดียที่เป็นหัวหน้าคนงานจะเป็นคนขับรถ MG สีแดงพาลูกน้องมาที่นี่ โดยทั้งสามไม่ได้พักที่ตึกแต่คล้ายเป็นนายหน้าหรือคนดูแลแรงงานชาวเมียนมา เพื่อให้มาอาศัยที่ตึกแห่งนี้ ในตึกก็จะมีเพียงแรงงานเมียนมาคนอื่นที่ไม่ใช่สามคนนี้พักอาศัยอยู่

 

และแปลกในช่วงวันที่ 19 มกราคม ตนเห็นชาวอินเดียขับรถเก๋ง MG สีแดงโดยถอยหลังเข้าตัวบ้าน ปกติเจ้าตัวจะจอดเพียงบริเวณด้านหน้าตัวบ้านตรงริมถนนเท่านั้น และวันนั้นก็กลายเป็นว่าท้องรถขูดกับพื้นตรงทางขึ้นตัวบ้าน ซึ่งเจ้าตัวก็ลงมาดู แต่ก็พยายามถอยเข้าไปอีก แล้วสักพักก็ขับรถออกมาแล้วก็ออกจากซอยไป และหลังจากนั้นก็ไม่เห็นเจ้าตัวอีกเลย รวมทั้งลูกน้องคนสนิทอีกสองคน

และในวันที่ 20 มกราคม ตนก็ยังเห็นแรงงานเมียนมาที่พักอาศัยในบ้าน ยังคงออกมากดน้ำและซื้อกับข้าวอยู่ ทำให้ตนตั้งข้อสงสัยว่าหากวันที่ 19 ชายชาวอินเดียและลูกน้องก่อเหตุฆาตกรรมแรงงานชาวเมียนมา ทำไมตนจึงไม่ได้ยินเสียงร้องและทำไมแรงงานที่พักอาศัยในอาคารดังกล่าวยังคงใช้ชีวิตตามปกติอยู่ ยืนยันว่าไม่เห็นตอนที่ชายชาวอินเดียที่เป็นหัวหน้าซื้อตู้แช่เย็นมาที่จุดเกิดเหตุเพื่อก่อเหตุลักษณะดังกล่าว

และอีกหนึ่งประเด็นสงสัยอีกว่า คนที่ถูกฆ่าจะใช่ลูกน้องคนสนิทที่หายตัวไปปริศนาหรือไม่ เพราะในภาพวงจรปิดขณะที่ชายชาวอินเดียพาลูกน้องไปซื้อตู้แช่เย็น ปกติหากชายชาวอินเดียจะไปที่ไหนจะต้องนำลูกน้องคนสนิทสองคนไปด้วย แต่นี่ไม่เห็นอีกคน ส่วนพฤติกรรมตอนที่ชายชาวอินเดียและลูกน้องคนสนิทอยู่ ก็ทำตัวปกติเหมือนคนทั่วไป ยังมีการเดินไปซื้อของกินที่ร้านค้าใกล้จุดเกิดเหตุ ก่อนที่จะลงมือเพียงไม่กี่วัน ลักษณะดูใจเย็น แถมก่อนลงมือ น้ำประปาในบ้านพักมีปัญหา ยังมาถามเพื่อนบ้านว่าจะต้องแก้ไขยังไง ซึ่งท่าทีก็ดูเหมือนปกติไม่มีพิรุธ

 

จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่อพาร์ทเมนต์ที่ผู้ต้องสงสัยชาวอินเดียทั้ง 2 คน อยู่ภายในซอยสาธุประดิษฐ์ 44 พบว่า ในวันที่ 19 มกราคม 2567 หลังผู้ต้องสงสัยก่อเหตุ และซื้อตู้เย็น ก็กลับมานอนที่อพาร์ทเม้นต์ 23.47 น. จากนั้นพบว่ามีการนำผ้ามาซักที่เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญใต้อพาร์ตเมนต์

ในวันที่ 20 มกราคม 2567 เวลา 11:14 น. หนึ่งในผู้ต้องสงสัยได้สะพายเป้อยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้น ผู้ต้องสงสัยได้นำผ้ามาซักที่ เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญใต้อพาร์ตเมนต์

จนกระทั่งเวลา 16:52 น. กลุ่มต้องสงสัยได้ออกจากห้องพักพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า ก่อนขับรถยนต์ MG สีแดงไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

 

ทีมข่าวได้สอบถาม ป้าอร นามสมมุติ แม่บ้านของอพาร์ตเมนต์ เปิดเผยว่า ตนเองไม่รู้จักชื่อ แต่ทราบว่าก่อนหน้านี้มีชาวอินเดียมาพักอยู่ที่อพาร์ทเมนต์แห่งนี้เพียงคนเดียวได้มาประมาณ 2 ปี ก่อนที่เมื่อต้นปีที่แล้วจะมีเพื่อนชาวอินเดียมาพักรวมด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งคนที่มาพักคนแรกและเป็นเจ้าของห้อง ตนเองพบว่ามีพฤติกรรมเรียบร้อย อัธยาศัยดี เจอหน้าก็ทักทายยิ้มพูดภาษาไทยได้บ้าง และยังมีน้ำใจช่วยยกของ ดูเป็นปกติ ส่วนคนที่มาอยู่ใหม่ที่เป็นเพื่อนกันดูเป็นคนเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร ลงมาเดินซื้อของแล้วก็จะกลับขึ้นไปที่ห้องทั้งคู่ ตอนเช้าก็จะออกไปทำงานด้วยกันทุกวัน

 

ล่าสุดที่ตนเองเจอทั้งสองคน คือ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา บริเวณหน้าลิฟต์ก็ยังยิ้มให้ตนเองและทักทายเป็นปกติ ไม่มีแสดงอาการต้องสงสัยหรือผิดปกติอะไร หลังจากนั้นตนเองก็ไม่พบสองคนนี้ในอพาร์ทเมนต์อีกเลย ซึ่งคาดว่าจะหนีออกไปเมื่อช่วงประมาณเย็นวันเสาร์ ซึ่งตนเองรู้ว่าทั้งสองคนเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าหั่นศพ หลังจากที่มีรูปทั้งสองคนปรากฏในภาพข่าว เพราะเป็นคนที่พักอยู่ในอพาร์ตเมนต์และคุ้นเคยเจอกันอยู่เป็นประจำ

 

ช่วง 19:20 น. วันนี้ ทางตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนของสน. ท่าข้าม เดินทางมาที่ลานจอดรถเอกชน ภายในซอยจุฬาฯ 5 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ หลังได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า มีรถต้องสงสัยเป็นรถเก๋ง MG สีแดงคล้ายคันที่ปรากฏในภาพวงจรปิด รถที่กลุ่มคนร้ายใช้ก่อเหตุหนีหลังฆ่าหั่นศพแรงงานชาวเมียนมาขับเข้ามาจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถเอกชน ซอยจุฬาฯ 5 ตรวจสอบเบื้องต้นเป็นของนายซันดาราเวล อายุ 23 ปี ชาวอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าหั่นศพนายอา เซ ไค ชาวเมียนมา สภาพประตูปิดล็อกทั้ง 4 บาน เจ้าหน้าที่ฯ ให้ช่างกุญแจมาเปิดประตูเพื่อตรวจสอบภายในรถ

 

จากนั้นมีการประสานทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบรถ และอยู่ในขั้นตอนยกรถขึ้นรถสไลด์เพื่อนำของกลางไปตรวจสอบเพิ่มเติมที่ สน.ท่าข้าม

ต่อมา ทางตำรวจได้แกะรอยคนร้ายในคดี จนพบรถของผู้ต้องสงสัยเป็นรถเก๋ง MG สีแดงจอดอยู่ที่บริเวณลานจอดรถเอกชนในซอยจุฬา 5 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ

จากนั้นมีกล้องวงจรปิดใกล้จุดเกิดเหตุที่บันทึกรถแท็กซี่คันหนึ่ง ซึ่งภายในมีผู้ต้องสงสัยโดยสารไป ช่วง 17.53 น.วันที่ 20 มกราคม จากการสืบสวนสอบสวนทราบว่า หลังคนร้ายได้จอดรถเก๋ง MG สีแดงทิ้งไว้ แล้วก็ได้มีการเรียกรถแท็กซี่เพื่อให้มารับและไปส่งที่สนามบินทันที ซึ่งมีการจองไฟลท์บินล่วงหน้าไว้ แล้วเดินทางไปยังต่างประเทศในวันที่ 20 มกราคม ไฟลท์บินเวลา 20.00 น.

 

วันนี้ตำรวจยังคงสอบปากคำพยาน 4 คน ซึ่งเป็นแรงงานชาวเมียนมาที่เคยพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังเกิดเหตุกับผู้ตาย โดยเชิญล่ามชาวเมียนมามาช่วยแปลคำให้การ นอกจากนี้ยังมีเรียกเพื่อนบ้านที่อยู่ในจุดเกิดเหตุเข้าสอบปากคำเพิ่มเติมด้วย

ขณะที่ ล่ามที่มาร่วมสอบปากคำพร้อมกับเพื่อนของผู้ตาย ได้เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ตายเป็นชาวเมียนมาที่ขอมาทำงานที่ประเทศไทยเนื่องจากสถานการณ์การเมืองไม่สงบ จึงติดต่อมาพร้อมกับเพื่อนอีก 5 คน (รวม 6 คน)

โดยกลุ่มของผู้ตายได้เดินทางมาถึงชายแดนในวันที่ 11 มกราคม จากนั้นก็มีนายหน้าซึ่งเป็นชาวอินเดียเดินทางเข้าไปรับในวันที่ 12 มกราคม ก่อนจะเดินทางมาถึงที่พักภายในซอยสะแกงาม 35/2 ในวันพุธที่ 15 มกราคม โดยนายหน้าชาวอินเดียรายนี้ ได้คิดค่าหัวในการหางานให้กับกลุ่มของผู้ตายตกหัวละ 7,000 บาท โดยยังไม่รู้ว่าจะไปทำงานอะไร ซึ่งกลุ่มของผู้ตายรวมทั้งหมด 6 คนก็จะถูกขังให้อยู่ที่ห้องครัวภายในที่พักซึ่งเป็นจุดพบศพ

 

หลังจากนั้นวันที่ 19 มกราคม นายหน้าชาวอินเดียที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ได้เรียกกลุ่มของผู้ตายขึ้นไปพูดคุยด้วย โดยได้เริ่มถามก่อนว่าใครอายุมากสุดให้เดินตามขึ้นมาที่ชั้น 3 ของอาคาร ซึ่งผู้ตายเองเป็นคนที่มีอายุมากที่สุด จึงเดินตามขึ้นไปพูดคุยด้วยเพียงลำพัง ส่วนอีก 5 คน ถูกขังไว้ในห้องครัวชั้น 1 จากนั้นผู้ตายได้คุยกับนายหน้ารายนี้นานกว่า 30 นาที ก่อนจะเดินลงมาเพียงคนเดียวในสภาพที่เหงื่อไหลออกเต็มตัว แล้วมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจ

จากนั้น นายจ้างคนนี้บอกว่าไม่พอใจผู้ตาย ก่อนจะขู่ว่าตนเองรู้จักตำรวจ ตม.หลายคน หากไม่ทำอะไรตามคำสั่ง หรือทำให้ไม่พอใจก็จะแจ้งตำรวจ โดยหลังจากพูดขู่แล้วเสร็จก็บังคับให้เพื่อนคนตายอีก 5 คน นั่งรถไปที่บริษัทจัดหางานย่านสีลม ก่อนจะปล่อยไว้กลางทางแล้วให้นั่งแท็กซี่ไปเอง พอวันที่ 19-20 มกราคม ไม่สามารติดต่อผู้ตายได้ ในวันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม จึงเดินทางมาดูที่ตึก แต่ประตูล็อกจึงขอเจ้าของตึกงัดกุญแจเข้าไป ก่อนจะพบศพผู้ตายอยู่ในตู้แช่

แฉอินเดียโหดเดินดูตู้เย็นสุดชิลล์แช่ร่างลูกน้อง ภาพมัดแวะล้างเลือดขึ้นแท็กซี่เผ่น