จากกรณีที่หญิงสาวรายหนึ่งได้ร้องเรียนมายังช่อง 8 เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องที่ตนเข้าไปรักษาที่ รพ. แห่งหนึ่งย่านบางแค แต่ทว่าเมื่อรับการรักษากลับมีของแถมเพิ่มให้ด้วย นั่นคือเมื่อฉีดยาไปแล้วนั้น ทางพยาบาลผู้เป็นคนฉีดให้นั้นฉีดให้บริเวณหางคิ้ว ซึ่งบริเวณหางคิ้วทางหญิงสาวไม่เคยถูกฉีดมาก่อน และเมื่อฉีดไปแล้วก็สลบไปทันที จากนั้นเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองหน้าบวมเป่ง ซึ่งทาง รพ. ก็ไม่ยอมรับผิดชอบแต่อย่างใด
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางมาพบกับนางอ้อย ศรีวิภา อายุ 40 ปี เป็นนางแบบและนักธุรกิจ โดยนางอ้อย เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ตนเองเป็นนางแบบและนักธุรกิจ โดยทำอาชีพดังกล่าวมาตั้งแต่อายุ 22 ปี ซึ่งในการทำอาชีพแบบนี้มีความเครียดสูงเป็นอย่างมาก จนมาวันหนึ่งตนเองก็เริ่มนอนไม่หลับมาเรื่อย ๆ จนต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่กินยานอนหลับชนิดทั่วไป และเมื่อกินไปเรื่อย ๆ ชนิดทั่วไปก็เอาไม่อยู่ จึงต้องเพิ่มตัวยาที่มีความเข้มข้นสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งช่วงโควิด-19 ตัวยานอนหลับชนิดเม็ดก็เอาไม่อยู่ ทำให้ต้องใช้การฉีดยาสลบของเด็กแบบเจือจาง ในการทำให้นอนหลับได้จนถึงปัจจุบัน
อีกทั้งตนเองตั้งแต่อายุ 24 ปี เริ่มมีอาการสวิงจากการที่ฮอร์โมนไม่ปกติตั้งแต่เกิด โดยช่วงที่มีประจำเดือน ตนเองมักจะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง และมีอาการปวดหัวอย่างหนักร่วมด้วย ก็ต้องใช้ยาแก้ปวดชนิดรุนแรงทั้งชนิดฉีดและชนิดเม็ด ในการรักษาร่วมด้วยกับยานอนหลับชนิดเข้มข้น เพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับจากอาการเครียด ซึ่งตนเองก็รักษามาหลาย รพ. จนตนเองก็ได้เข้ามาเริ่มรักษาอาการนอนไม่หลับและอาการปวดหัวที่ รพ. แห่งหนึ่ง ย่านบางแค เพราะอยู่ใกล้คอนโดของตนเอง ซึ่งได้เข้ามารักษาประมาณ 3 สัปดาห์ ก็รักษาปกติไม่มีปัญหาอะไรเลย
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2566 ตนมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงในขณะที่ติดต่องานอยู่ที่ประเทศเวียดนาม จึงรีบเดินทางกลับไทยมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ และนั่งแท็กซี่มาที่ รพ. ดังกล่าวทันที โดยเมื่อมาถึงทางแพทย์ที่รักษาตนตลอดได้ออกเวรไปแล้ว จึงมีพยาบาลคนนึงมาฉีดยาให้ โดยได้รับการฉีดเมื่อประมาณ 4 ทุ่ม ซึ่งตัวยาที่ฉีดมีตัวยาดรามามีน แก้เวียนหัว 100 มก. แวเรียม ยานอนหลับ 20 ซีซี เพททีรีน แก้ปวดขนาดรุนแรง 100 มก. และฉีดบริเวณหางคิ้ว ซึ่งบริเวณดังกล่าวไม่เคยถูกฉีดมาก่อน และเมื่อฉีดเสร็จแล้วก็สลบไปทันที
รู้ตัวอีกทีตอนเที่ยงของอีกวัน ซึ่งเมื่อรู้สึกตัว น้าของตนที่มาเฝ้าอาการก็บอกให้กินข้าวก่อนอย่าเพิ่งเข้าห้องน้ำ แต่ตนไม่เชื่อจึงเดินไปที่ห้องน้ำ และตอนดูในกระจกในห้องน้ำก็ตกใจเป็นอย่างมากว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมตนเองหน้าบวมขนาดนี้ จากนั้นหมอเจ้าของไข้ตนก็เข้ามาดูอาการ และถามว่าเกิดอะไรขึ้น ใครทำให้เป็นแบบนี้ และเมื่อบอกไปหมอเจ้าของไข้ตนก็ดูแลตนเองดีมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานทาง ผอ.รพ. ก็เข้ามาที่ห้องตน พร้อมกับต่อว่าตนและพูดคุยทำนองว่าจะไม่ยอมรับผิดชอบ อีกทั้งมาด่าตนเองว่าจะฟ้อง รพ. ใช่ไหม ซึ่งทางตนก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากจากคำพูดของ ผอ. รพ.
จากนั้นตนเองก็อยู่ที่ รพ. แห่งนี้อีก 2 วัน ทาง รพ. ก็บอกว่าให้กลับบ้านได้ แล้วค่อยกลับมาใหม่ แต่เมื่อกลับมา รพ. อีกครั้ง ทาง รพ. ก็แจ้งว่าจะไม่ยอมรักษาตนเองแล้ว และกีดกันไม่ให้เจอหมอเจ้าของไข้ด้วย ทำให้ตนเริ่มรักษาเองโดยต้องรักษาอาการหน้าบวม อาการผมร่วงอย่างรุนแรงจนเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่บริเวณศรีษะ และต้องเข้าพบกับจิตแพทย์เพื่อรักษาสภาพจิตใจ เป็นระยะเวลากว่า 5 เดือนแล้ว จนอาการเริ่มดีขึ้นตามลำดับ
ค่าใช่จ่ายในการรักษาต่าง ๆ กว่า 3 ล้านบาทแล้ว ซึ่ง 5 เดือนที่ผ่านมานั้น ทาง รพ. ดังกล่าวยังไม่เคยออกมาขอโทษหรือช่วยหรืออะไรตนเลยแม้แต่น้อย จึงอยากฟ้องร้อง รพ. แห่งนี้อย่างเด็ดขาด เพื่อให้เป็นกรณีตัวอย่างต่อไป