เปิดหลักฐานปิดเกมลุงพล แฝงตัว 3 ปี หาข้อมูล
ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปพูดคุยกับ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หนึ่งในคณะทำงานชุดคลี่คลายคดีน้องชมพู่ พล.ต.ต.นพศิลป์ เปิดเผยถึงความรู้สึกหลังจากศาลมุกดาหารตัดสินจำคุกลุงพล ว่า ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณศาลที่ตัดสินด้วยความเป็นธรรม และขอให้เครดิตท่าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีต ผบ.ตร. ที่ให้ความสนใจและลงมาติดตามคดีด้วยตนเอง พร้อมทั้งระดมกำลังชุดสืบสวนจากทั่วประเทศมากฝีมือมาอยู่ที่บ้านกกกอก
ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม รอง ผบช.ภ.4 พร้อมทั้ง พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐ., พล.ต.ต.ชัชชัย วงค์สุนะ ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร และ พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม รอง ผบก.ป., พ.ต.ท.พูนสุข เตชะประเสริฐพร รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.1 รวมถึงทีมงานนักสืบทุกคน สถาบันนิติเวชโรงพยาบาล กองพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งในขณะนั้นได้รับผิดชอบคดีดังกล่าวและทุกคนทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ
พล.ต.ต.นพศิลป์ ยืนยันว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา กระบวนการทำงานของตำรวจชุดสืบสวนนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งว่าเป็นผู้กระทำความผิด แต่ยึดจากพยานหลักฐานที่พบเจอเป็นจุดสำคัญจนนำไปสู่การเจอตัวผู้กระทำผิด ตำรวจสอบปากคำชาวบ้านไปกว่า 300 ปาก คัดผู้ต้องสงสัยในหมู่บ้านเหลือ 14 คน ซึ่ง 13 ผู้ต้องสงสัยในตอนนั้นยืนยันไทม์ไลน์ของตัวเองได้หมดว่าไปไหน ทำอะไร มีฐานที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาเกิดเหตุมีพยานยืนยัน แต่ยกเว้นลุงพลที่ไม่สามารถตอบได้
สรุปสาระสำคัญที่เป็นพยานหลักฐานสำคัญได้ทั้งหมด 8 ข้อ ดังนี้
1. เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่ มีเนินชันมากกว่า 60 องศา ขวางกั้นในทุกเส้นทาง ระยะทางขึ้นกว่า 1.5 กิโลเมตร ถึงจุดที่พบศพ บริเวณชั้น 6 ของภูเหล็กไฟ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เด็กจะเดินขึ้นไปเสียชีวิตเองได้
2. พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานไป มีแค่ น้ำส้ม และไข่เจียว ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ
3. ประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่าเด็ก 3 ขวบ จะปีนป่ายไปถึงได้แค่ชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น
4. กรณีศึกษาการหลงป่าของชาวบ้านกกตูม ชาวบ้านสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว
5. แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ ยืนยืนว่า พัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้ ปีนเขาไปถึงชั้นที่ 6 ของภูเหล็กไฟเองได้ในทุกเส้นทาง
6. สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งพ่อแม่ของน้องชมพู่ยืนยันว่าน้องชมพู่ไม่สามารถถอดเสื้อเองได้
7. พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ถูกตัดด้วยมีด เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น
8. นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง และกลัวป่า ที่ผ่านมาของน้องไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง
ส่วนหลักฐานที่น่าเชื่อว่า น้องชมพู่ มีคนร้าย คือ ลุงพล อุ้มพาขึ้นไปทิ้งบนภูเหล็กไฟจนถึงแก่ความตาย มาข้อสังเกตหลายข้อคือ
1. เส้นทางขึ้นภูเหล็กไฟจากบ้านน้องมีทั้งหมด 5 เส้นทาง ซึ่ง 4 เส้นทางขึ้นภูเหล็กไฟนั้น มีพยานเป็นชาวบ้านยืนยันได้หมดว่า ไม่เห็นน้องชมพู่ในเส้นทางทั้ง 4
แต่มีเส้นทางที่ 5 ที่มีพยานจำนวน 2 ปากที่เห็นลุงพล เดินไปในเส้นทางใกล้บ้านน้องชมพู่ ในช่วงเวลาน้องหาย โดยพยาน 2 ปาก ตำรวจได้สอบสวนจนเสร็จสิ้นแล้ว แต่ในชั้นศาลมีพยาน 1 ปาก กลับคำให้การแต่ศาลได้ยึดจากสำนวนการสอบสวนครั้งแรก โดยศาลเชื่อว่าลุงพลมีการข่มขู่พยาน และมีการเปลี่ยนแปลงเวลาจริง
2. ลุงพลอ้างว่าไปรับพระในช่วงเวลาที่หลานตัวเองหาย โดยตอนแรกลุงพลอ้างว่า รู้ว่าหลานหายจากที่ป้าแต๋นโทรศัพท์ไปบอก จากนั้นตำรวจได้ไปไล่เช็กมาชัดเจนเเล้วว่า ครอบครัวลุงพลมีโทรศัพท์แค่เครื่องเดียว ลุงพลไม่มีโทรศัพท์
3. นิติวิทยาศาสตร์เรื่องของเส้นผม 2 เส้นของน้องชมพู่ที่ถูกตัดและพบบนภูเหล็กไฟ กับเส้นผม 1 เส้นที่พบบนรถของลุงพล โดยตำรวจไปตรวจค้นรถของลุงพล เมื่อ 11 มิถุนายน 2563 (1 เดือนหลังจากพบศพน้อง) แต่ก่อนหน้านี้ได้เก็บเส้นผมของน้องชมพู่ตั้งแต่วันที่พบศพไปแล้ว โดยการตรวจค้นรถลุงพล ตำรวจไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ลุงพลคนเดียว แต่เป็นการค้นทั่วหมู่บ้าน
และในวันนั้นที่มีการตรวจค้นรถ ลุงพล ป้าแต๋น ก็ได้ยินยอมให้ตำรวจตรวจค้น ตำรวจมีการกั้นพื้นที่ ถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เจ้าหน้าที่ใส่ชุดพีพีอีไปจัดเก็บหลักฐานในรถ เจอเส้นผมในวันนั้น ซึ่งลุงพลก็เซ็นรับทุกอย่าง เก็บหลักฐานตามขั้นตอน ทุกอย่างมีภาพและคลิปหลักฐานหมด และใช้เบิกความต่อศาลทั้งหมดแล้ว ซึ่งตนเองยืนยันว่า เป็นหลักฐานที่ตำรวจได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้กลั้นแกล้งลุงพล ถ้าตำรวจได้มาโดยไม่ชอบศาลคงไม่เชื่อหลักฐานของตำรวจหรอก มันมีการพิสูจน์มาทั้งหมดแล้ว
ส่วนลักษณะของเส้นผมที่ถูกตัด ซึ่งถือเป็นไม้ตายของตำรวจที่ใช้มัดลุงพล โดย พล.ต.ต.นพศิลป์ ยืนยันว่า การตรวจพิสูจน์ลักษณะของเส้นผมที่ถูกตัดที่พบข้างศพของน้องชมพู่ และที่พบในรถของลุงพล มีลักษณะเดียวกัน ซึ่งการใช้แสงซิงโครตรอนมาพิสูจน์ เป็นการนำมาตรวจในคดีครั้งแรกของประเทศไทยก็จริง แต่เครื่องมือในประเทศไทย เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือพิเศษ ในเครื่องเดียวในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเคยใช้ในการตรวจหลักฐาน และดำเนินการกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว
พล.ต.ต.นพศิลป์ ขอยืนยันว่า ชัด ๆ อีกครั้ง ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสืบสวนสอบสวน รวมถึงการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด นำส่งต่อศาล นำมาสู่การสืบในชั้นศาลเสร็จสิ้น ทั้งพยานบุคคล พยานแวดล้อม พยานนิติวิทยาศาสตร์ และพยานวัตถุ จนนำมาสู่การรู้ตัวผู้กระทำความผิด ซึ่งหลังจากนี้หากฝ่ายแม่ของน้องชมพู่จะยื่นอุทธรณ์และนำพยานหลักฐานมามอบต่อศาลที่จะให้แจ้งข้อหาเจตนาฆ่านั้นก็สามารถทำได้
เช่นเดียวกับฝ่ายโจทก์คือลุงพลหากจะต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ ส่วนเรื่องความเห็นแย้งที่ฝ่ายโจทก์จะนำมาเป็นข้อต่อสู้สำคัญในชั้นอุทธรณ์นั้นขอไม่ก้าวล่วงในเรื่องนี้
ยอมรับที่ผ่านมาตำรวจต้องใช้ความอดทนอดกลั้นเป็นอย่างสูง ตำรวจบางนายต้องอยู่ในพื้นที่บ้านกกกอกฝังตัวอยู่ในหมู่บ้านเป็นปี ๆ ซึ่งตนเองไม่เคยบอกที่ไหน ตนเองได้ให้ตำรวจชุดสืบสวนจำนวน 9 นาย ฝังตัวอยู่ภายในหมู่บ้านกกกอกจนถึงวันสืบพยานเเล้วเสร็จแทบไม่ได้กลับบ้าน และมีตำรวจอีก 2 นาย ฝังตัวเป็นชาวบ้านกกกอก ซึ่งเพิ่งจะได้กลับบ้านเมื่อไม่นานมานี้ หลังมีการสืบพยานทำคดีเสร็จ โดยจุดประสงค์ก็เพื่อคอยปกป้องดูแลครอบครัวน้องชมพู่ และคอยหาหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งเมื่อวานนี้การที่ศาลสั่งลงโทษลุงพล ตำรวจดีใจและภูใจในพยานหลักฐานแล้วที่ทำให้ศาลท่านเชื่อ และขอฝากไปถึงแฟนคลับลุงพล ให้ยอมรับคำตัดสินของศาลด้วย
ลุงพล แจงที่มาผมบนรถ ถูกมัดติดคุก 20 ปี
ลุงพล ให้สัมภาษณ์กรณีเรื่องเส้นผมที่พบในรถของลุงพล ว่า ตัวเองก็ยังสงสัยว่าเส้นผมที่พบนั้นเจอได้อย่างไร แต่บางครั้งรถของลุงพลไม่ค่อยได้ล้าง ซึ่งน้องชมพู่อาจจะขึ้นรถคันนี้มาแล้วก่อนหน้านี้ก็ได้ และยังมีรถของคนอื่นที่น้องชมพู่ขึ้นด้วย ส่วนตอนที่ตำรวจไปตรวจค้นนั้นตำรวจได้ขึ้นรถลุงพล ก่อนที่จะมีการใส่ชุดพีพีอีขึ้นไปตรวจพิสูจน์หลักฐานอีกซะด้วยซ้ำ ตรวจแต่รถของลุง จึงมองว่าไม่ยุติธรรม เพราะหากตรวจทุกคันเส้นผมของน้องชมพู่อาจตกในรถทุกคันที่น้องขึ้นก็ได้