อ.ตฤณห์ ไม่ฟันธง ลุงพลเจอศพชมพู่ เป็นการแสดง ?

ทีมข่าวช่อง 8 ได้คุยกับ ดร.ตฤณห์ โพธิรักษา ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยา และอาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในส่วนภาษากายท่าทีของลุงพล ตั้งแต่เจอศพน้องชมพู่จนถึงวันตัดสิน ลักษณะพฤติกรรมเป็นอย่างไรบ้าง

อาจารย์ตฤณห์ กล่าวว่า โดยตั้งแต่วันแรกที่เจอศพตัวของลุงพลก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรใด ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเวลาเราคุยกันเรื่องพยานหลักฐานจะพูดไม่ได้เพราะศาลชั้นต้นได้ตัดสินไปแล้วในขั้นแรกว่ามีความผิด

โดยตนจะขอพูดถึงวิวัฒนาการของลุงพลตั้งแต่ช่วงแรกที่มีสื่อมวลชนไปติดตาม บุคลิกภาพหรือพฤติกรรมของลุงพลจะไม่ใช่แบบที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน โดยทุกวันนี้เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าการตอบคำถามการวางตัวของลุงพลนั้น และการควบคุมสถานการณ์ในการแถลงข่าวเขาสามารถทำได้ดีกว่าแต่ก่อน ทำให้เราจะดูได้ยากว่าเขารู้สึกอย่างไร เพราะเขามีการพัฒนามาแล้ว ช่วงแรก ๆ ที่อยู่ต่อหน้าสื่อเขาจะดูพูดน้อย โดยหลังจากนั้นเรื่อยเรื่อยจากการที่ตนเห็นจากในคลิปต่าง ๆ จะเห็นว่าเขามีการตอบคำถามได้ดีวางตัวดี



ส่วนตอนที่พบศพน้องชมพู่แรก ๆ และเขามีอาการร้องไห้ ตนอยากจะพูดถึงประเด็นนี้ว่า ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์เรานั้นมีความสามารถในการแสดงสูงมากกว่าสัตว์อื่น ๆ การเสียใจหรือเสียใจก็สามารถที่จะแสดงได้ การร้องไห้ก็แสดงได้ ตนไม่อยากให้ทุกคนมีภาพจำหรือความคาดหวังต่อพฤติกรรมของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเราเอง ไปเป็นทางใดทางหนึ่งทางเดียว ไม่งั้นอาจจะเป็นการปิดกั้นการวิเคราะห์พฤติกรรมของเรา

อย่างเช่นคนร้องไห้ คนปกติกล้าจะคิดว่าร้องไห้เพราะเสียใจ แต่จริง ๆ มันไม่ใช่แบบนั้นในทุก ๆ บางคนก็อาจจะร้องไห้เมื่อตกใจหรือเมื่อโล่งใจ หรือด้วยความรู้สึกผิด ซึ่งมันมีหลายอย่าง ตนไม่อยากให้ไปตัดสินใครจากช่วงเวลาหนึ่งที่เห็นเพียงแค่สั้น ๆ เท่านั้น

ซึ่งจากตอนที่พบศพแล้วลุงพลร้องไห้ ตนไม่อยากตัดสินว่าเป็นการแสดงหรือไม่แสดง อยากให้ไปถามคนสนิทลุงพลมากกว่า การที่เราจะตัดสินว่าใครทำอะไรเป็นไปตามธรรมชาติหรือไม่นั้น จะต้องเปรียบเทียบกับต้นแบบที่เป็นตัวบุคคลของคนนั้น อย่างเช่นปกตินายเอ เป็นคนร่าเริงแจ่มใส แต่พอมาวันนึงเค้ากลับดูซึมไป เราก็จะสามารถนำอาการสองวันนี้มาเปรียบเทียบกันได้ แต่ตนเองนั้นไม่ได้รู้จักกับลุงพลเป็นการส่วนตัว เมื่อตนเห็นลุงพลจากคลิปสั้น ๆ โดยที่ตนไม่มีตัวเปรียบเทียบว่าจะไปเปรียบเทียบกับลุงพลตอนไหน เพราะตนไม่รู้จักก็ทำให้ตนตอบได้ยากว่าเขาแสดงหรือไม่แสดง



ลุงพลเข้าเครื่องจับเท็จ ตอบคำถามเดิมจนไม่รู้สึก

ต่อมา คือหลังจากที่ทางตัวลุงพลได้ไปเข้าเครื่องจับเท็จนั้น พอเสร็จได้ออกมาสัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ตนมองว่าเขามีท่าทีตอบคำถามได้อย่างเป็นกลางกลาง เนื่องจากยังไม่รู้ผลของเครื่องจับเท็จ จริงการทำงานของเครื่องจับเท็จมันจะเป็นตัวจับความไวของระบบประสาทอัตโนมัติอัตโนมัติ เช่น อัตราการเต้นของชีพ เหงื่อ ปริมาณเหงื่อที่ออก หรือการเต้นของหัวใจ เมื่อเราถามคำถามไหนแล้วปฏิกิริยาของร่างกายแสดงความตื่นเต้นหรือปล่อยเหงื่อออกมามาก เขาก็จะดูว่าสัมพันธ์กับคำถามช่วงไหน ถามคำถามนี้ทำไมหัวใจเต้นเร็ว สิ่งเหล่านี้หากถูกฝึกมาหรือโดนถามด้วยคำถามเดิมซ้ำ ๆ อย่างกรณีของลุงพลสื่อมวลชนก็มีการถามคำถามกับลุงพลซ้ำ ๆ แบบนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ตัวลุงพลสามารถตอบคำถามได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไร เพราะผ่านการตอบมาหลายรอบแล้ว เป็นเหมือนการฝึกกลาย ๆ

วิเคราะห์ภาษากายลุงพล วันเจอศพจนตัดสิน

โดยหลังจากวันนี้ที่ศาลมีการตัดสินออกคำพิพากษามา และลุงพลได้ออกมาแถลงข่าวพร้อมทนายความ การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางต่าง ๆ สายตาของลุงนั้นดูมีความเครียด

โดยปกติแล้วตัวลุงพลเองนั้น เวลาพูดมักจะสบตาคนอื่นบ้างไม่สบบ้าง แต่วันนี้ตอนที่แถลงข่าวเขากลับไม่สบตาใครใด ๆ เลย และพูดน้อย คิดว่าจะเป็นเพราะในเรื่องของกระบวนการทางกฎหมายจึงให้ทนายเป็นคนตอบ โดยลักษณะการพูดของเขาที่เด่น ๆ ในวันนี้จะเห็นว่าเป็นงานมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อนช่วงแรกที่เกิดเรื่อง ซึ่งถ้าเป็นตอนนั้นเขาน่าจะแสดงความวิตกกังวลมากกว่านี้ แต่วันนี้กลับไม่ใช่ถึงจะมีความเครียดอยู่บ้าง แต่ก็ดูน้อยลงจากตอนแรกที่มีมีข่าวน้องชมพู่หายไป



ซึ่งตนมองว่าตอนนี้ท่าทีและอาการของลุงคนนั้นดูยากแล้ว เนื่องจากตัวเขามีการพัฒนาในการออกเสียงและการตอบคำถามแต่ละครั้งมากขึ้น ซึ่งก็มาจากประสบการณ์ประสบการณ์การตอบคำถามบ่อยบ่อยของเขา ต่อให้จะพูดเรื่องไม่จริงมาก็อาจจะดูเหมือนจริงได้ เหมือนอย่างเช่นเวลาเราโกหก 100 ครั้ง ครั้งที่ 100 มันก็อาจจะเพอร์เฟคมากขึ้นแล้ว ซึ่งจะแตกต่างจากครั้งแรกที่ตอบ

ถอดท่าที "ลุงพล" วันเจอศพชมพู่บนเขา

คุณณัฐดนัย นะราช ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ที่ได้ขึ้นไปบนภูเหล็กไฟในวันที่เจอศพน้องชมพู่ เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ในช่วงค่ำของวันที่ 14 พ.ค. 2566 คุณณัฐดนัยได้ขึ้นไปบนเหล็กไฟกับลุงพล และชาวบ้านกกตูม ประมาณ 30 คน โดยลุงพลจะเป็นคนที่เดินอยู่แถวหน้า ๆ

กระทั่งใกล้จุดพบศพน้องชมพู่ระหว่างที่ทุกคนเดินตามหา รองเท้าต้องสงสัยนั้น พอไปถึงจุดเจอศพ ปรากฏว่าก็มีเสียงกรีดร้องของผู้ชายคนหนึ่ง โดยผู้ชายคนนั้นก็คือลุงพล ทีมข่าวจึงได้รีบวิ่งไปยังจุดที่เจอศพน้องชมพู่ ก็ปรากฏว่าเห็นน้องชมพู่นอนหงายอยู่บนพื้น ลักษณะเสื้อและกางเกงถูกถอด จากนั้นลุงพลก็ได้ร้องไห้ฟูมฟาย และทรุดลงไปที่พื้น พยายามจะเข้าไปแตะต้องที่ร่างของน้อง แต่ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ได้ห้ามเอาไว้ จากนั้นลุงพลก็ร้องไห้เสียใจอยู่นานพอสมควร คาดว่าใช้เวลาร้องไห้ประมาณ 30 นาที



ซึ่งระหว่างที่ลุงพลร้องให้ฟูมฟาย ผู้สื่อข่าวก็ได้จ่อไมค์สอบถามจนลุงพลมีการกล่าวถึงบุคคล ๆ หนึ่ง (นายสมคิด) เป็นชาวบ้านในหมู่บ้าน ว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ต้องสงสัยในการกระทำน้องชมพู่

จากการสังเกตของทีมข่าวยอมรับว่า ตอนนั้นการร้องไห้ของลุงพลมองได้สองแบบ แบบแรกคือร้องไห้เสียใจที่เจอศพหลาน แบบที่สองคือร้องไห้เสียใจมากกว่าคนปกติ

ย้อนคำสาบาน "ลุงพล" เคยลั่น คนร้ายฆ่าชมพู่

ครั้งที่ 1 วันที่ 2 ก.ค. 2563 ที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร บอกว่า "หากข้าพเจ้ากระทำผิดต่อชมพู่จริง ขอให้ทำลายชีวิตของข้าพเจ้า และขอให้มีอันเป็นไปในเร็ววันด้วยเถิด"

ครั้งที่ 2 วันที่ 9 ก.ค. 2563 ที่วัดภูผาแอก บอกว่า "ถ้าข้าพเจ้ามีส่วนรู้เห็นในการตายของน้องชมพู่ ขอให้ครอบครัวของข้าพเจ้าจงวิบัติ จงฉิบหาย ขอให้ข้าพเจ้าตายโหงไปพร้อมน้องชมพู่ด้วย"

ครั้งที่ 3 วันที่ 28 ก.ค. 2563 ที่วัดภูผาแอก บอกว่า "ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการตายของ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือน้องชมพู่ ขอให้ครอบครัวของข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญ"



ลุงพลเจออาถรรพ์คำสาบานปังพินาศ "ตฤณห์-นักข่าว" ไขปริศนาน้ำตาการละคร