ป.ป.ช. แจงปมปลดครูชัยยศออกจากราชการ ไม่ใช่ย้ายงบอาหารไปให้เด็ก ม.ต้น แต่เซ็นรับรองเอี่ยวการทุจริตเงิน 1.7 แสนบาท เจ้าตัวรับไม่เข้าใจเอกสาร

วันที่ 8 ธ.ค. 2566 จากกรณีที่นายชัยยศ วัย 57 ปี อดีตครูชำนาญการพิเศษ (คศ.3) โรงเรียนบ้านยางเปา อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง กรณีทุจริตเบียดบังงบอาหารกลางวันเด็ก ผลสุดท้ายต้องถูกปลดออกจากราชการ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 และครูชัยยศต้องหันมาประกอบอาชีพขายโรตีเลี้ยงชีวิต

ล่าสุด นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริง เบื้องต้นพบว่า โรงเรียนดังกล่าวจะมีนักเรียน 2 ประเภท คือ นักเรียนไปเช้าเย็นกลับกับนักเรียนพักนอน โดยนักเรียนพักนอนจะได้รับการสนับสนุนค่าอาหาร จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 5 ส่วนนักเรียนระดับประถมศึกษา จะได้รับการสนับสนุนค่าอาหารกลางวันจากองค์การบริหารส่วนตำบลอมก๋อย คนละหน่วยงานกัน

ส่วนการจัดหาอาหารกลางวัน โรงเรียนต้องจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และจะจ่ายเงินได้เมื่อมีการตรวจรับและลงลายมือชื่อของคณะกรรมการตรวจรับครบถ้วน 4 คน ได้แก่ นายจรัส สุพรรณ์ เป็น ผอ.โรงเรียน นางบุณยนุช ใจปินตา เป็นเจ้าหน้าที่จัดซื้ออาหาร นางจิราพรรณ จาตุนันท์ และนายชัยยศ เป็นกรรมการตรวจรับ

ทั้งนี้ นางบุณยนุช เจ้าหน้าที่จัดซื้ออาหาร ไม่ได้ขออนุมัติจัดซื้ออาหารสำหรับนักเรียนพักนอนปี 2561 จำนวน 15 สัปดาห์ ตามระเบียบที่ราชการกำหนด โดยนางบุณยนุชทำบันทึกขออนุมัติยืมเงินโครงการอาหารกลางวันนักเรียน เงินปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน และอาหารนักเรียนพักนอนเป็นรายสัปดาห์ และทาง ผอ. ก็อนุมัติให้ยืมเงินสำหรับโครงการอาหารกลางวัน โดยไม่ได้สั่งการให้จัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบราชการ

เมื่อนางบุณยนุชได้ยืมเงินในโครงการสัปดาห์ละ 6 หมื่นบาท ก็เป็นคนจัดหาวัตถุดิบ จ้างคนครัวเพื่อประกอบอาหารเอง ไม่เกินสัปดาห์ละ 48,500 บาท ไม่มีการทำสัญญาจ้าง และไม่มีหลักฐานการเข้ามาประกอบอาหารแต่อย่างใด ส่วนเงินที่เหลือสัปดาห์ละ 1 หมื่นบาทเศษ จำนวน 15 สัปดาห์ เป็นเงิน 172,240 บาท ก็พบว่า นางบุณยนุช จัดซื้อเพิ่มเติมจาก 2 แห่ง แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าแต่ละสัปดาห์มีการจัดซื้อเป็นจำนวนเท่าใด และไม่ได้ขอใบเสร็จรับเงินจากร้านค้า

นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบเอกสารชดใช้เงินยืม พบว่า มีการจัดพิมพ์ใบรับรองการจ่ายเงินค่าอาหารเป็นเท็จ แยกเป็นรายวัน วันละ 3 ใบ รวม 15 ใบ ทั้งที่มีการส่งอาหารสดและอาหารแห้งมายังโรงเรียนสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น ส่วนในใบรับรองการจ่ายเงินค่าอาหาร ไม่เกินใบละ 1 หมื่นบาท แต่มีการเพิ่มราคาต่อหน่วยวัตถุดิบ และมีนางจิราพรรณและนายชัยยศ กรรมการตรวจรับลงลายมือชื่อรับรอง และนางบุณยนุช นำใบรับรองนี้มาเป็นหลักฐานการจ่ายเงินแทนใบเสร็จ

ดังนั้น การกระทำแบบนี้ถือว่าไม่ปฏิบัติตามระเบียบ มีเจตนาที่จะไม่ให้มีการตรวจสอบภายหลังว่าจัดซื้ออาหารกลางวันของโรงเรียนครบถ้วนหรือไม่ และทำให้โรงเรียนเกิดความเสียหาย จึงมีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินัจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในชั้นศาล และส่งรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการด้านวินัยทั้ง 4 รายตามความผิดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) แล้วแต่กรณีต่อไป

ขณะที่ วันนี้ นายชัยยศ ได้เปิดใจในรายการโหนกระแสว่า เรื่องที่มีการแชร์ว่ามีการปลดออกจากราชการ เนื่องจากมีการแบ่งอาหารไปให้เด็กนักเรียนชั้นมัธยมต้นนั้นไม่เป็นความจริง แต่จริงๆ แล้วเรื่องราวมากจากที่ชาวบ้านเดินขบวน อยากให้ทางผอ.จรัส และครูบุญยนุชโยกย้ายออกจากพื้นที่ และด้วยความที่เราอยู่มานาน เขาก็ให้ผมเป็นรักษาการผู้อำนวยการ เมื่ออยู่ไปไม่นาน ทาง ปปช.ก็เข้ามา ซึ่งเรื่องเงินต่างๆ ผมไม่ทราบเลย ผมเป็นแค่คนตรวจรับของอาหารกลางวันของเด็ก

เมื่อของมาส่ง ก็ดูว่ามันมีไหม ก็เซ็นรับของไป โดยที่มองดูนับจากภายนอกว่าครบ แต่ไม่ได้ยกดูภายในว่าครบไหม อีกทั้งในเอกสารยังมีการเซ็นชื่อของครูบุณยนุชแล้ว จึงเข้าใจว่าตัวเองไม่เกี่ยวการเงิน เขาจะซื้อมาเท่าไหร่เราก็ไม่รู้ รู้แค่ว่านับจำนวนของให้ตรงเท่านั้น จะให้ผมทุจริตต่ออาชีพตัวเอง ผมไม่ทำแน่นอน

ส่วนเรื่องการที่มีการเซ็นรับวันละ 3 ครั้ง ด้วยความที่เป็นล็อตใหญ่ ด้วยความเชื่อใจและไม่เข้าใจเรื่องเอกสาร ตนขอยืนยันว่า ผมไม่ทราบว่าใบที่เซ็นไปนั้นเกี่ยวข้องกับเงิน คิดแต่ว่าเกี่ยวข้องกับรายการอาหารเท่านั้น ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจจึงเซ็นชื่อลงไป

เพิ่งมารู้ว่าถ้าเราไม่อยากทำตรงนี้ก็ทำหนังสือไป แต่ในความเป็นจริง ถ้าไม่ทำแล้วเราจะอยู่ตรงนั้นได้ไหม? ไม่ได้หรอกครับ เพราะเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และก็ดูแล้วว่ามันไม่ยากแค่มานับอาหารแล้วก็เซ็นไป

ยืนยันว่าตนไม่ได้เจตนาทุจริต เพียงแต่ทำตามหน้าที่ตามคำสั่งเท่านั้น แต่ดูเอกสารก็ไม่รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง ขาดความรู้ความเข้าใจ