ญาติขาดใจหนุ่มหลอนยาโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญเผยทำเกินกว่าเหตุ ขณะที่ทางด้านพ่อผู้ตายจะไม่ยอมเผาศพลูกชายจนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม
29 พ.ย.66 ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ได้เดินทางยังวัดป่าศิลาอาสน์ อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร สถานที่ตั้งศพของนายสาธิต ผู้เสียชีวิตจากการถูกวิสามัญ โดยบรรยากาศภายในงาน มีญาติเเละครอบครัวผู้ตาย เดินทางมาร่วมงานฌาปนกิจศพ แต่เป็นการเผาหลอก เพราะพ่อและอาของนายสาธิตเปลี่ยนใจกะทันหัน จะทำเรื่องดำเนินการนำร่างของผู้ตายไปชันสูตรศพใหม่อีกครั้งที่จังหวัดขอนแก่น
โดยพ่อและอาของผู้ตายได้เดินทางออกจากวัดไปทำเรื่องเอกสารการตายที่อำเภอบ้านม่วง ส่วนที่วัดครอบครัวได้ยกโลงศพของผู้ตายออกจากโลงเย็น เเละนำขึ้นรถกู้ภัย ด้านญาติๆ ได้เดินมาดูหน้าผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะนำเงินใส่ในโลง ส่วนรูปหน้าโลงก็ให้ญาติเก็บไว้ที่บ้านไม่ได้นำไปรพ.ด้วย ในขณะที่บนเมรุเผาศพ ครอบครัวและสัปเหร่อได้นำ ธูปเทียนที่ใช้ไหว้ดวงวิญญาณผู้ตายใส่เตาเผา เป็นการเผาหลอก และโปรยทานให้กับคนที่มาร่วมงานศพ
ภรรยาเผยสามีเคยเกิดอาการคลุ้มคลั่งและไปทำลายศาลประจำหมู่บ้าน
ด้านนางชมพู ภรรยาผู้เสัยชีวิต เล่าว่า ช่วงเช้าก่อนเกิดเหตุหลังจากที่ตนเองส่งลูกไปเรียนหนังสือก็ได้กลับมาบ้านและทานข้าวกับสามี ซึ่งในตอนนั้นสามีก็ยังมีอาการปกติไม่ได้มีลักษณะแปลกแปลกแต่อย่างใด
จนกระทั่งช่วงเกิดเหตุวันที่ 24 พฤศจิกายนช่วงเวลาประมาณ 16.00 น. มีคนในหมู่บ้านโทรมาบอกตนว่าให้รีบกลับมาดูสามีเพราะเกิดอาการคุ้มคลั่งถือมีดปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดต้นมะขามและมีอาการพูดบ่นพึมพำคนเดียว แต่ตอนนั้นตนยังไม่ได้รีบเดินทางมาที่เกิดเหตุทันที
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเกลี้ยกล่อมสามีของตนอยู่นาน และมีการยิงกระสุนยางเข้าใส่สามี ซึ่งสามีก็ร้องบอกว่าเจ็บๆ กลัวแล้วๆ และยิ่งทำให้สามีไม่ยอมออกมาด้านนอก จนตนกลัวว่าตำรวจจะหิวข้าว จึงได้ไปหาไก่มาต้มระหว่างรอ จนเวลา 02.00 น. ของวันที่ 25 พฤศจิกายน มืดมากเเล้ว ประกอบกับสามีของตนปิดไฟภายในบ้านทำให้คนข้างนอกมองไม่เห็นด้านในเกรงว่าจะอันตราย เพราะสามียังถือมีดอยู่ หลังจากนั้นไม่นานสามีของตนก็วิ่งออกจากทางหน้าบ้านไปที่ทุ่งนา ก่อนที่ตอนที่ตำรวจจะวิ่งตามและมีการยิงปืนถูกสามีก่อนหนึ่งครั้งหลังจากนั้นตนก็มองไม่เห็นเหตุการณ์อีกแต่ได้ยินเสียงตำรวจยิงปืนรัวๆ เพราะตนไปดูตรงจุดที่เกิดเหตุก็พบว่าสามีนอนคว่ำหน้าถูกยิงบริเวณท้ายทอยและขาทั้งสองข้าง
โดยตอนนั้นตำรวจบอกว่าสาเหตุที่ต้องยิงกระสุนจริงเป็นเพราะว่าสามีของตนต่อสู้ขัดขืน แต่ตนก็รู้สึกแปลกใจเพราะว่าหากถ้าหากสามีของตนต่อสู้จริงทำไมรอยยิงถึงอยู่ด้านหลัง
ตอนนี้ตนและครอบครัวรู้สึกกังวลใจเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงได้มีการส่งศพสามีไปชันสูตรใหม่ที่จังหวัดขอนแก่น และอยากเรียกร้องความเป็นธรรมขอให้มีการดูแลชดเชยค่าเสียหายเพราะสามีเป็นเสาหลักของครอบครัวตนเองเลี้ยงลูกอยู่บ้านจึงไม่มีรายได้
ส่วนลางสังหรณ์ ก็มีเเค่ช่วงกลางวันก่อนเกิดเหตุ ตนเกี่ยวข้าวก็ไม่มีใจจะทำ รู้สึกกระวนกระวาย
นอกจากนี้ภรรยาผู้ตายยังยอมรับว่ายอมรับว่า สามีของตนมีการเสพยาเสพติดจริง แต่เพิ่งจะเสพได้ประมาณ 1 ปีก่อน ที่ผ่านมาก็เคยมีพฤติกรรมคลุ้มคลั่งอาละวาดทำร้ายข้าวของ ที่ศาลประจำหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในหมู่บ้าน แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ไม่เคยทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวหรือระรานชาวบ้านเลย
พ่อเรียกร้องเยียวยา และชันสูตรศพใหม่กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวได้คุยกับนายสมส่า พ่อผู้เสียชีวิต ซึ่งยอมรับกับเราว่าลูกชายติดยาเสพติดมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมาเสพหนักเมื่อช่วง 3 เดือนที่แล้ว แต่ทุกครั้งที่ลูกชายเสพยาบ้าก็ไม่เคยคลุ้มคลั่งและทำร้ายใคร มีเพียงครั้งเดียวเมื่อประมาณ 3 เดือนก่อนที่ ลูกชายเกิดอาการคุ้มคลั่งแต่ก็ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาระงับเหตุ โดยในครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ปืนไฟฟ้ายิงใส่ตัวลูกชาย เพื่อระงับอาการคุ้มคลั่ง หลังจากนั้นลูกชายก็ไม่เคยมีอาการคุ้มคลั่งอีก
จนกระทั่งล่าสุดได้มาเกิดเหตุเมื่อวานนี้ที่อยู่อยู่ลูกชายก็เกิดอาการคุ้มคลั่งโดยลูกสะใภ้ได้โทรศัพท์มาบอกและตนได้บอกให้ลูกสะใภ้โทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาระงับเหตุ ซึ่งตนเองก็คิดว่าเจ้าหน้าที่จะเข้ามาระงับเหตุเหมือนครั้งแรกที่ลูกชายเกิดอาการคุ้มคลั่งแต่ปรากฏว่าครั้งนี้เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ เนื่องจากลูกชายไม่ได้มีการต่อสู้ แต่ยอมรับว่ามีอาวุธมีด ซึ่งคาดว่าอาจจะเพื่อป้องกันตัวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ขณะเดียวกันตนเองมองว่า ลูกชายไม่ได้จะวิ่งเข้าไปทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่เป็นการวิ่งหนีมากกว่า แต่ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงต้องทำการวิสามัญลูกชายของตนเอง และล่าสุดวันนี้ตนเองจะไม่ทำการเผาศพลูกชายจนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม พร้อมกับอยากให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจจากส่วนกลาง มาช่วยทำคดีเพราะตนเองไม่ไว้ใจตำรวจในพื้นที่ในการทำคดีของลูกชาย
ญาติเผยผู้ตายรื้อค้นทำลายศาลประจำหมู่บ้านจริงแต่ก็ได้มาขอขมาและซ่อมแซมแล้วจึงไม่เชื่อว่าเป็นอาถรรพ์
จากการสอบถามนางได ญาติผู้ตาย เปิดเผยว่า ปกติแล้วผู้ตายเป็นคนนิสัยใจคอดีชอบช่วยเหลือชาวบ้านในหมู่บ้าน โดยเฉพาะกับตนเองนายสาธิตจะชอบมาช่วยงานและเวลาที่เจอหน้าตนเองก็จะวิ่งเข้ากอด จึง ทำให้ตนเอง รักและเอ็นดูเหมือนลูกหลาน ส่วนเรื่องของการเสพยาเสพติด ตนเองก็พอทราบมาบ้าง แต่ไม่เคยมีพฤติกรรมละลานชาวบ้านหรือทำร้ายร่างกายใคร
มีแค่เมื่อ 3 เดือนก่อนผู้ตายอาละวาดเข้ามาทำลายรื้อค้นที่ศาลประจำหมู่บ้าน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ประมาณ 3-4 วัน นายสาธิตก็มีการมาไหว้ขอขมาที่ศาลรวมถึงครอบครัวได้มาซ่อมแซมแล้ว ส่วนตัวเลยไม่เชื่อว่า สาเหตุที่นายสาธิตถูกยิงจนเสียชีวิต จะเป็นเรื่องอาถรรพ์ที่เขาเคยมาพังศาล ส่วนเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญนายสาธิตตนก็มองว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุ
ผู้กำกับการ ยืนยันผู้ตายเกิดอาการคลุ้มคลั่งและจะทำร้ายเจ้าหน้าที่จริง
ขณะเดียวกันเราได้โทรศัพท์สอบถามจาก พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ อรัณยากานนท์ ผกก.สภ.บ้านม่วง ให้ข้อมูลว่า
ขณะที่เกิดเหตุนายสาธิตผู้ก่อเหตุมีลักษณะคลุ้มคลั่งและควบคุมตัวเองไม่ได้พร้อมกับมีอาวุธมีดอยู่กับตัว เจ้าหน้าที่จึงปฏิบัติตามยุทธวิธีจากขั้นเบาไปหาหนัก ขั้นแรกเกลี้ยกล่อม อุปกรณ์ไม้ง่าม ไปจนถึงการใช้กระสุนยางเพื่อระงับเหตุ แต่นายสาธิตได้หลบหนีออกจากบ้านใช้มีดที่พกติดตัวอยู่กำลังจะทำร้าย จนท. ต้องยิงสกัดที่ขาเพื่อหยุดการกระทำแต่ไม่เป็นผล จึงต้องระงับเหตุอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันตัวของ
หลังเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ส่งศพนายสาธิต ธรรมรัง ไปผ่าชันสูตรศพ ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่นทันทีตามขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมาย ก่อนจะนำศพกลับมาให้ญาติบำเพ็ญกุศล ตามประเพณี ส่วนในเรื่องที่ญาติยังติดใจสาเหตุการตายของนายสาธิต ก็เป็นสิทธิ์ของญาติผู้ตาย
ตนเองขอยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะมีการเรียกพยานกว่า 20 คน มาให้ปากคำเพิ่มเติม เนื่องจากในที่เกิดเหตุร่วมปฏิบัติงานหลายฝ่าย