รมช.คลัง เผยแจก เงินดิจิทัล 10,000 บาท ไม่เหมือนที่หาเสียงไว้ หนุนตัดสิทธิ์คนรายได้เกิน 50,000 บาท ต่อเดือน

26 ต.ค. 66 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลต กล่าวว่า ตนไม่รู้สึกหนักใจ กรณีที่การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะมีรายละเอียดที่แตกต่างไปจากที่หาเสียงไว้ เนื่องจากการเป็นรัฐบาลก็ต้องรับฟังเสียงรอบด้าน ซึ่งช่วงเดือนที่ผ่านมาก็จะเห็นว่ามีคำถามจากบรรดานักวิชาการ และภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งรัฐบาลก็รับฟัง อย่างกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปคุยกับนายกรัฐมนตรี ระบุว่าการแจกให้กลุ่มคนมีฐานะจะไม่เกิดการใช้จ่ายใหม่ (New Spending) ไม่เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่ต้องการ

“เมื่อคืนโลกออนไลน์ก็วิพากษ์วิจารณ์กันเยอะ ผมไม่มีปัญหาเลย เราเป็นนักการเมือง เราต้องรับได้ทุกมิติ อย่าง ธปท.บอกอย่างนั้น เราก็รับฟัง ว่าถ้าคิดว่าคนมีฐานะจะไม่เกิด New Spending ไม่เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราก็พิจารณา ในการพิจารณาอนุกรรมการก็มีความเห็นแตกต่างกัน”

โดยข้อเสนอเรื่องการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งกรณีแรก ธปท.และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอให้แจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง 15 ล้านคน ส่วนนี้ในแง่ความเห็นส่วนตัว ตนก็ไม่ได้เห็นด้วย เพราะเป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของโครงการจากกระตุ้นเศรษฐกิจไปเป็นการสงเคราะห์ แต่ในฐานะประธานอนุกรรมการก็ต้องยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง

หรือกรณีที่สอง การตัดคนจนคนรวย ที่ระดับรายได้เกิน 2.5 หมื่นบาทต่อเดือน และเงินฝากเกิน 1 แสนบาท ก็ได้ทักท้วง ว่าหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่คนชั้นกลางก็ลำบาก จากเศรษฐกิจที่ไม่ดี ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์ ประเทศยังโตไม่ได้ตามศักยภาพ

กรณีที่สาม ก็มีข้อเสนอว่า ถ้าต้อง Cap ผู้ที่มีรายได้สูง ก็คิดมาที่ 5 หมื่นบาทต่อเดือน กับเงินในบัญชี 5 แสนบาทขึ้นไป กลุ่มนี้ยังพอจะเป็นไปตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างน้อยได้คนถึง 49 ล้านคน เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเป็นไปตามวัตถุประสงค์หลักของโครงการ

"หากถามความเห็นส่วนตัว ไม่เห็นด้วยที่จะดูแลเฉพาะกลุ่มเปราะบาง แต่เห็นว่าควรตัดกลุ่มผู้มีรายได้ ที่ได้เงินไปแล้ว แต่ไม่เกิดการใช้จ่าย ดังนั้นทางเลือกการตัดสิทธิ์ผู้ที่มีรายได้เกิน 50,000 บาท ต่อเดือน หรือมีบัญชีเงินฝากเกิน 5 แสนบาท น่าจะมีความเหมาะสมที่สุด"

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ได้เจอกับนายกฯ ในการไปตอบกระทู้ที่รัฐสภา ซึ่งได้รายงานนายกฯ ว่าได้มีการแถลงความคืบหน้าการดำเนินการของอนุกรรมการแล้ว โดยบอกว่าสิ่งที่แถลงเป็นไปตามมติของที่ประชุม ไม่ได้หมายความว่าสุดท้ายจะเลือกทางใด เนื่องจากยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ซึ่งเป็นสิทธิของคณะกรรมการชุดใหญ่ที่จะพิจารณาต่อไป

“คุยกับท่านนายกฯ ถึงสิ่งที่แถลงไป ท่านก็ตบบ่า พร้อมให้กำลังใจ ว่าแน่นอน เป็นนักการเมืองก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ท่านก็ยิ้ม ๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่ท่านก็รับทราบสิ่งที่เราทำ และยังเชื่อมั่นว่าการเดินหน้าโครงการนี้ยังเป็นประโยชน์ และต้องมีให้ได้”

นายจุลพันธ์กล่าวว่า การที่ประชาชนมีการให้ความเห็นผ่านโซเชียลมีเดียกันอย่างมากมาย ก็สะท้อนให้เห็นว่ามีประชาชนรอนโยบายนี้อยู่จำนวนมาก