รันทด! หนุ่มน้อยถูกชิงตัวตอน 4 เดือนเพิ่งเจอแม่ในรอบ 18 ปี พ่อโต้ยัดยาลูกจนต้องหนี

น้องโย่ง (นามสมมติ) อายุ 18 ปี ตามหาแม่ หลังพลัดพรากจากกันนาน 18 ปี ในพื้นที่ ต.โพนเขวา อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ มาขอความช่วยเหลือกับตำรวจ สภ.โพนเขวา โดยน้องโย่ง มีภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.ดอนโพธิ์ทอง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี หนีออกจากบ้านไปทำงานที่กรุงเทพมหานคร ตอนอายุ 15 ปี เนื่องจากพ่อติดยา และถูกแม่เลี้ยงทำร้าย กระทั่งตกงานไม่มีที่ไป จึงได้เข้าขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.จรเข้น้อย กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ช่วยตามหาแม่ เพราะไม่อยากกลับไปเจอเรื่องราวโหดร้ายของที่บ้าน อยากเห็นหน้าแม่ แต่ไม่รู้เป็นใคร ไม่รู้รูปร่างหน้าตา ไม่รู้ชื่อแม่

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำบัตรประชาชนไปค้นหาข้อมูลให้ กระทั่งรู้ว่าแม่เป็นชาว จ.ศรีสะเกษ จึงปริ้นต์ข้อมูลชื่อที่อยู่ให้ และนำส่งขึ้นรถไฟมาลงที่สถานีรถไฟศรีสะเกษ จากนั้นน้องโย่งไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะไปพึ่งใคร จึงได้เดินเข้าขอความช่วยเหลือจากตำรวจ สภ.เมืองศรีสะเกษ เพราะคิดว่าปลอดภัยที่สุด จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูข้อมูลแล้ว จึงได้นำไปส่งที่ป้อมยาม สภ.โพนเขวา เพราะเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบของ สภ.โพนเขวา กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานผู้ใหญ่บ้าน

จากนั้นตำรวจ สภ.โพนเขวา ได้พาน้องโย่งขึ้นรถตำรวจไปพบกับผู้ใหญ่บ้านโนนสัง หมู่ที่ 9 ต.โพนเขวา เพื่อพาไปหาบ้านของแม่ เมื่อไปถึงบ้านดังกล่าวพบนางจวน อายุ 75 ปี ยายของน้องโย่งอยู่บ้านคนเดียว เมื่อนางจวนเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเต็มบ้านก็รู้สึกตกใจ นึกว่าจะมาจับใคร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงอธิบายให้ฟัง จึงรู้ว่าเป็นหลานของตนจริง จากนั้นนายโย่ง ได้เดินโผเข้ากอดยายด้วยความดีใจจนทั้งคู่น้ำตาไหลด้วยความยินดีที่ได้พบกันครั้งแรก

นางจวน เล่าว่า ตนมีลูก 3 คน มีครอบครัวไปหมดแล้ว มีเพียงแม่ของนายโย่งที่หลังจากเลิกรากับพ่อของนายโย่งไปยังไม่มีใคร โดยแม่ของนายโย่งมีลูก 2 คน คือ นายโย่ง และอีกคนจมน้ำเสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือเพียงนายโย่งที่พ่อเขาเอาไปเลี้ยงที่ จ.สุพรรณบุรี ตั้งแต่หัดเดิน ยังจำความไม่ได้ และไม่ได้มีการติดต่อกันอีกเลย นานกว่า 18 ปี กระทั่งมาเจอตอนโต ซึ่งตนก็รู้สึกช็อกและดีใจที่เจอหลาน และเชื่อว่าเป็นหลานของตนจริงๆ เพราะดูจากเค้าโครงหน้าตาแล้ว ใช่หลานตนแน่นอน แต่ก็ชื่นชมที่พ่อเขาเอาลูกไปเลี้ยงจนโต ถ้าจะว่าไม่ดีก็คงไม่ใช่ เพราะสามารถเลี้ยงลูกจนโตได้ถึงขนาดนี้

สอบถามน้องโย่ง เล่าว่า ปัจจุบันอยู่คนเดียว ตอนนี้ไม่ได้เรียนหนังสือ เรียน ม.3 แต่ยังไม่จบ อยู่บ้านรู้สึกเบื่อกับครอบครัว พ่อติดยาเสพติด แม่เลี้ยงก็มีแต่ความรุนแรง ซึ่งพ่อกับแม่เลี้ยงมีลูกใหม่ด้วยกัน 2 คน จึงไม่ค่อยให้ความสนใจตน ตนจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว โดยเดินทางไปอยู่กับเพื่อนที่ จ.พัทลุง เนื่องจากพ่อของเพื่อนเปิดร้านผ้าใบ ทำเบาะ จึงไปช่วยงานอยู่ที่นั่น

จากนั้นตนได้งานใหม่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งก็ดีเพราะไม่ต้องเช่าบ้าน กินอยู่พร้อม ก็เลยย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ต่อมาที่ทำงานปิดกิจการด้วยภาวะเศรษฐกิจ ไม่มีลูกค้า ตนจึงตกงาน มีเงินติดตัวแค่ 200 บาท จึงมีความคิดอยากเจอแม่ แต่ไม่รู้ว่าแม่เป็นใคร ไม่รู้จักชื่อแม่ ไม่รู้บ้านแม่ ไม่รู้จะไปพึ่งใคร จึงเดินไปหาตำรวจ สน.จรเข้น้อย ให้ช่วยเหลือ ซึ่งทางตำรวจก็ได้ช่วยตรวจสอบจากบัตรประชาชนตน จนพบชื่อของบิดามารดา จึงได้รู้และเห็นหน้าแม่ครั้งแรกจากเอกสารที่ตำรวจปริ้นต์ให้ เพื่อนำไปเป็นข้อความในการตามหาแม่ พร้อมกับช่วยออกค่ารถไฟให้มาลงที่สถานีรถไฟศรีสะเกษ หลังจากลงจากรถไฟแล้ว ก็รู้สึกเคว้งไม่รู้จะทำอย่างไร ไปไหนไม่ถูก จึงพยายามตามหาสถานีตำรวจ เพื่อนั่งพักร้อนและขอความช่วยเหลือ เพราะรู้สึกว่าปลอดภัยที่สุด

ตนไม่อยากกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่เลี้ยงและครอบครัวที่อยู่ตรงนั้น เพราะมีแต่ความรุนแรง มีแต่อะไรที่แย่ๆ เคยถูกแม่เลี้ยงทำร้ายทุบตีมาโดยตลอด ตอนเด็กๆ ที่ถูกทำร้ายไม่ได้คิดอะไรก็ยอมมาโดยตลอด แต่พอเริ่มโตขึ้นยิ่งยอมยิ่งไม่อยากอยู่ จึงได้หนีออกจากบ้านไปหาทำงานตั้งแต่ตอนอายุ 15 ปี โดยไม่ได้บอกคนที่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครตามหา วันนี้ตั้งใจมาเพราะอยากจะเจอแม่ เพราะตนไม่มีที่พึ่งอย่างอื่นแล้ว

จากนั้น ยายจวนได้โทรศัพท์ไปหาลูกสาว ซึ่งก็คือแม่ของน้องโย่ง และน้องโย่งได้คุยกับแม่ผ่านทางโทรศัพท์ด้วย โดยแม่ได้ถามว่า อยู่กับพ่อสบายดีไหม ขณะที่น้องโย่งน้ำตาซึม ตอบว่า อยู่ดีแต่ไม่เชิงสบาย พร้อมอธิบายว่า พ่อส่งให้เรียนตามปกติ แต่พอจะเรียนจบก็ไม่ให้เรียน แล้วพ่อก็ติดยา แม่ใหม่ก็รุนแรงมาก ส่วนอนาคตข้างหน้าก็จะทำงานและพยายามเรียน ขณะที่แม่ได้ชวนไปทำงานกับแม่ก่อนก็ได้เพราะที่ทำงานแม่รับคน หากน้องโย่งอยากทำงาน หรือจะอยู่กับยายก่อนก็ได้ โดยน้องโย่งบอกว่า "รักและคิดถึงแม่มาก อยากกอดแม่"

ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้พบกับนางสาวสายชล อายุ 47 ปี แม่ของน้องโย่งที่กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า ตนเองได้เลิกกับสามีตอนลูกอายุได้ 4 เดือน วันที่ตนเองแยกทางกับสามีก็พยายามที่จะไม่ให้ลูกไปกับสามี แต่สามีก็ได้เอาลูกหนีไป ซึ่งตนเองก็พยายามไปตามหาที่จังหวัดสุพรรณบุรีแต่ก็ไม่พบ ตลอด 18 ปีที่ผ่านมาตนเองคิดถึงลูกทุกวัน แต่ก็ไม่รู้จะตามหาที่ไหน ติดต่อก็ไม่ได้

โดยเมื่อได้รับการติดต่อจากผู้ใหญ่บ้านที่จังหวัดศรีสะเกษ สอบถามว่า ตนเองเคยมีลูกหรือไม่ ตนเองจึงทราบว่าลูกของตนเองออกมาตามหาและกลับไปอยู่กับยายที่บ้านแล้ว จึงรู้สึกดีใจมาก เหมือนกับถูกรางวัลที่หนึ่ง ที่ได้ลูกคืนกลับมา ส่วนที่ลูกต้องไปตกระกำลำบากอยู่กับพ่อติดยาเสพติดและถูกแม่เลี้ยงทำร้าย ตนเองรู้สึกเสียใจเพราะคิดว่าพ่อของลูกจะเลี้ยงดูและปกป้องลูกเหมือนกับที่ต้องการเอาลูกไปเลี้ยงเอง

หลังจากนี้ตนเองจะปกป้องลูกและไม่ยอมให้ลูกกลับไปอยู่กับพ่ออีก และจะส่งให้ลูกได้เรียนหนังสือให้จบ ส่วนจะมาอยู่กับตัวเองที่กรุงเทพหรือจะอยู่ที่บ้านยายก็อยู่ที่ลูก แม้ตนเองจะมีสามีใหม่แล้วแต่ก็ได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจซึ่งสามีใหม่ก็รับได้ ไม่มีปัญหาอะไร ก่อนที่ตนเองจะขึ้นรถไปหาลูกได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับลูกได้ยินเสียงรู้สึกดีใจและลูกบอกว่าจะไปรับ ตนเองก็บอกให้ลูกว่าไม่ต้องไปรับเดี๋ยวแม่กลับเข้าไปเอง ตั้งใจว่าถ้าเจอหน้าลูกอย่างแรกที่จะทำคือเข้าไปกอดลูก ที่ต้องพลัดพรากจากกันมากกว่า 18 ปี

ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ยังได้เดินทางไปที่บ้านพ่อของน้องโย่งที่ จ.สุพรรณบุรี พบว่า พ่อและแม่เลี้ยงของโย่งได้ย้ายไปมีครอบครัวที่อื่นหมดแล้ว เหลือเพียงลุงพักอาศัยอยู่เท่านั้น ทีมข่าวได้สอบถามนายชัยชัย อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นลุงของน้องโย่ง โดยลุงให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เรื่องราวชีวิตของโย่งนั้นน่าสงสารมาก โย่งถูกนายปรีชา น้องชายตน ขโมยตัวมาจากอ้อมกอดของแม่แท้ๆ ตั้งแต่โย่งอายุได้เพียงแค่ 4 เดือน เนื่องจากทั้งสองมีปัญหาทะเลาะกัน ทำให้โย่งไม่เคยเห็นหน้าแม่แท้ๆ ตั้งแต่เกิด

จากนั้นน้องของตนเอง ได้นำโย่งมาเลี้ยงแต่ก็ไม่ได้เลี้ยงแบบดีนัก เพราะนายปรีชาติดยาเสพติดหนักมาก และมักจะทำร้ายร่างกายโย่งอยู่เป็นประจำ ต่อมาปรีชาได้ไปมีเมียใหม่และมีลูกอีกกับเมียใหม่ได้อีก 2 คน ทำให้โย่งยิ่งกลายเป็นลูกนอกคอก ไม่มีใครรัก เวลาไปโรงเรียนกัน แม่เลี้ยงจะให้เงินลูกทุกคนไปกินขนม โดยบอกให้ไปแบ่งเงินกัน แต่ลูกอีก 2 คนของแม่เลี้ยงก็แทบไม่เคยแบ่งเงินค่าขนมให้โย่งกินขนมหรือข้าวเลย โย่งต้องใช้ชีวิตอยู่แบบอดๆ อยากๆ และเวลาปรีชากับเมียทะเลาะกัน ก็จะชอบมาลงที่โย่ง เตะต่อยทำร้ายโย่ง จนตนเองเห็นแล้วสงสารมากแต่ไม่รู้จะทำยังไง

ครั้งหนึ่งโย่งเคยถูกปรีชาผู้เป็นพ่อทำร้ายจนตนเองเคยพูดกับปรีชาน้องชายว่า “มึงทำร้ายลูกตัวเองแบบนี้ มีดอยู่ใกล้ๆ มึงฆ่ามันเลย มึงฆ่ามันง่ายกว่า มันจะได้ไปเกิดใหม่เจอชีวิตที่ดีกว่านี้” เพราะตนเองสงสารจับใจ

ยังไม่พอ ช่วงที่โย่งอายุได้ประมาณ 7-8 ขวบ โย่งยังเคยเกือบจะติดคุกและรับผิดแทนพ่อ เพราะพ่อขับรถสิบล้อเอาโย่งนั่งไปด้วยแต่เมื่อเจอด่านตำรวจ พ่อกลับยัดยาบ้าที่ตัวเองเสพใส่กระเป๋ากางเกงโย่ง และให้ลงจากรถและตัวเองขับรถผ่านด่าน จนโย่งต้องถูกตำรวจจับและถูกนำตัวไปบ้านพักเด็กอยู่นาน ก่อนถูกปล่อยตัวออกมา ตนเองจึงไม่แปลกใจที่โย่งจะหนีออกจากบ้านไปเริ่มต้นชีวิตใหม่

ทีมข่าวยังตามหานายปรีชา พ่อของโย่งจนพบ โดยมีอาชีพขายปลา โดยเจ้าตัวขอชี้แจงว่า สิ่งที่ลูกชายกล่าวหาว่าตนเองทำร้ายร่างกายลูก ยืนยันไม่เป็นเรื่องจริง และตั้งแต่หอบโย่งจากแม่ตั้งแต่เล็กไม่เคยตีลูกชายสักแอะ ส่วนเรื่องตนเองยัดยาบ้าให้ลูกโยนความผิด พี่ชายก็พูดโกหกไม่ใช่เรื่องจริงเลย และถามกลับว่า หากไม่รักตนเองจะหอบโย่งมาเลี้ยงเองให้เหนื่อยทำไม

ส่วนเหตุผลที่โย่งหนีจากบ้าน ตนเองไม่ทราบ แต่ก่อนจะหนีไปโย่งเป็นเด็กที่ไม่ทำการทำงาน ไม่เคยช่วยพ่อแม่ทำมาหากินเลย วันๆ เล่นแต่เกม และมักจะขโมยเงินไปเติมเงิน โอนเงินให้สาวๆ ครั้งละ 2,000-3,000 บาทตลอด ขนาดเพื่อนบ้านใกล้ๆ กันยังถูกขโมยเงิน

และยืนยันเมียใหม่ก็รักลูกชายเหมือนลูกแท้ๆ รักลูกเท่ากันหมด วันนี้ก็เพิ่งรู้ข่าวจากนักข่าวว่า โย่งได้เจอแม่แท้ๆ แล้ว ก็ดีใจด้วย เพราะโย่งก็ไม่เคยเจอแม่แท้ๆ ตั้งแต่เกิดจริงๆ เพราะตนเองตัดขาดแม่โย่งไปนานแล้ว

ส่วนวันที่โย่งหนีออกจากบ้าน โย่งได้ขโมยพระเครื่องไปหลายรายการและเงินสดไป 15,000 บาท ก่อนจะหนีไปจากบ้าน ซึ่งตนเองตอนนั้นโกรธมาก อยากจะตัดขาดจากลูกเลยเพราะทำกันได้ แต่สุดท้ายยังไงก็ลูก ส่วนลูกชายอยากจะกลับมาหาตนเองอีกหรือไม่ ก็แล้วแต่ ตนเองไม่ว่า

ชีวิตเศร้า ยิ่งกว่าดาวพระศุกร์!