"วิโรจน์" เชื่อเบาะแสสำคัญ "ส่วยทางหลวง" ส่งให้จเรตำรวจแห่งชาติ 8 มิ.ย.นี้ มั่นใจหลักฐานที่มีเอาผิดได้

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล บอกถึงกรณีที่ในวันพฤหัสบดีที่ 8มิ.ย.จะเดินทางเข้าให้ข้อมูลกับจเรตำรวจแห่งชาติ ประเด้ว่า วันพฤหัสจะมีการนำเบาะแสไปให้กับทางจเรตำรวจแห่งชาติ รวมถึงพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ผบ.ทล.) ซึ่งจะเป็นเบาะแสสำคัญที่จะทำให้ตำรวจไปทำการแกะรอยและสืบสวนสอบสวนได้ และจากการให้สัมภาษณ์ทางจเรตำรวจแห่งชาติและผู้การจรูญเกียรติถือว่าให้การตอบรับดี


ทั้งนี้ จากเบาะแสที่จะนำไปให้มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจำนวนมาก เพราะรูปแบบแต่ละสติกเกอร์มีทั้ง นักการเมือง ผู้ประกอบการท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ด่านช่าง ตำรวจท้องที่ที่ทำงานด้านจราจร และตำรวจทางหลวง ซึ่งสติกเกอร์แต่ละดวงมีความเกี่ยวพันไม่เหมือนกัน พร้อมทั้งขอย้ำว่าเป็นแค่บางคนที่เกี่ยวข้องเท่านั้นไม่ได้เหมารวมทุกคน

เมื่อถามว่า มองอย่างไรบ้างที่ออกมาแฉแล้วเกิดการปราบปรามอย่างรวดเร็ว ทั้งที่มีมานานแล้วแต่ที่ผ่านมาไม่ได้ถูกปราบปราม นายวิโรจน์ ระบุว่า คงต้องถามนายกรัฐมนตรีรักษาการมากกว่าว่า 8-9 ปี ทำไมถึงปล่อยให้อยู่ในสภาพแบบนี้ จากเดิมเคยมีมาตรา 44 ทำไมถึงไม่เรียกคนพวกนี้มาปรับทัศนคติบ้าง หรือ ทัศนคติตรงกัน แต่ตนเองเชื่อว่าปัญหามันมีอยู่จริง และขอไม่พูดถึงที่ผ่านมา แต่วันนี้และในอนาคต คงไม่สามารถแก้ด้วยการปราบปรามอย่างเดียว แต่ต้องแก้ เรื่องของกฎหมายที่ไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติด้วย รวมถึงการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ที่ใช้ดุลพินิจเกินความจำเป็น และบทกำหนดโทษ ที่หนักเกินไปจนไม่ได้สัดส่วน ทำให้เจ้าหน้าที่บางคนใช้เป็นเครื่องมือในการเรียกรับผลประโยชน์ จึงมองว่าควรจะต้องแก้ไขกฎหมายทั้งสามส่วนนี้ และจะนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งในการช่างน้ำหนักของรถบรรทุก หากน้ำหนักเกินก็จะต้องมีบทกำหนดโทษอย่างเหมาะสม เพราะทุกวันนี้น้ำหนักเกินโทษถึงขั้นยึดรถ ดังนั้น เมื่อเจอตำรวจบางคนก็ได้โอกาสหาช่องเรียกรับผลประโยชน์ และเป็นช่องให้พนักงานสอบสวนค้าสำนวน เปลี่ยนถูกให้เป็นผิดเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก จึงควรต้องแก้บทกำหนดโทษให้มีการเปรียบเทียบปรับอย่างสมเหตุสมผล และใช้เทคโนโลยีในการจ่ายค่าปรับเพื่อให้เงินเข้ารัฐแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาจะต้องทำที่ระบบไม่ได้แก้ไขปัญหาเพียงแค่การปราบปรามเพียงอย่างเดียวเพราะจะทำให้งอกขึ้นมาใหม่ได้

ส่วนมองว่าจะถูกตัดตอนที่ตัวเล็กตัวน้อยแล้วไปไม่ถึงตัวการใหญ่หรือไม่นั้น นายวิโรจน์ มองว่า หากจะกวาดให้ครบ ก็คงไม่ครบอยู่แล้ว จึงมองว่า การจะแก้ปัญหาเรื่องนี้จะต้องวางที่ระบบและกฎหมาย รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ และที่สำคัญคือการเลิกระบบซื้อขายตำแหน่งเพราะคนที่ซื้อขายตำแหน่งมาก็จะต้องมาถอนทุน ในการวางเป้าสวยให้กับลูกน้อง

ทั้งนี้ ตนเองจึงขอส่งสัญญาณไปยังข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ไม่ใช่แค่ตำรวจ ว่า รัฐบาลก้าวไกล ระบบคุณธรรมจะต้องกลับมา ข้าราชการที่ตั้งใจทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา สุจริตจะต้องมีโอกาสในการเติบโต ให้มีอำนาจในการบริหารงาน เพื่อจะได้เป็นขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการที่ตั้งใจทำงานอย่างสุจริต ส่วนข้าราชการที่ไม่ดีก็จะต้องมีการปรับปรามอย่างเป็นธรรมเช่นกัน

พร้อมยอมรับว่า หลังจากที่ออกมาเปิดโปงก็มีการถูกโทรศัพท์มาคุกคาม มาบ่นให้ฟัง และพูดหยาบคาย แต่ตนเองก็ตัดสายไป เพราะเชื่อว่า หากทำในสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่ต้องกลัวอะไร และหลายคนที่คอมเม้นต์ ว่า เป็นห่วงวิโรจน์และเป็นห่วงพรรคก้าวไกล ขอให้ระวังตัว มองว่า สังคมควรต้องเปลี่ยนจากการระวังตัวเป็นการให้กำลังใจและประชาชนจะอยู่ข้าง และปกป้องคุณมากกว่า ก็จะทำให้คนที่คิดทำเพื่อนที่ดีมีกำลังใจมากขึ้น

"เปลี่ยนจากคำว่าระวังตัว และเป็นห่วงให้กลายมาเป็นคำที่ว่าเดินหน้าเต็มที่ ประชาชนจะอยู่เคียงข้างคุณใครทำอะไรคุณประชาชนจะเอาคืนมันเอง"