ตำรวจไซเบอร์ จับกุม ผู้ต้องหา 1 ในเครือข่ายมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ อ้างตัวเป็นตำรวจระดับสารวัตร หลอกหมอ และนักธุรกิจ โอนเงิน 143 ล้าน

ตำรวจไซเบอร์ นำหมายจับเข้าควบคุมตัวนายนวกร วงกระจ่าง ผู้ต้องหาตามหมายจับในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ, ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์การอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ และร่วมกันฟอกเงิน โดยจับกุมตัวได้ที่ ซอยเพชรสุวรรณ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ก่อนนำตัวมาสอบปากคำที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

สืบเนื่องมาจาก เมื่อเดือนมิถุนายน 2565 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ได้รับคำร้องทุกข์จากคุณหมอจังหวัด ชุมพร และนักธุรกิจประกอบกิจการพลังแสงอาทิตย์ ได้ถูก แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสารวัตร ทำหน้าที่พนักงานสอบสวน สภ. เมืองเชียงราย แจ้งว่าให้ผู้เสียหายทั้ง 2 โอนเงินในบัญชีธนาคารของ ผู้เสียหายมาเพื่อตรวจสอบ เนื่องด้วยมีการส่งพัสดุผิดกฎหมาย และข่มขู่ว่าถ้าไม่มีการโอนเงินมาตรวจสอบจะดำเนินการออกหมายจับผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อโดย ผู้เสียหายที่เป็นคุณหมอจากจังหวัดชุมพร โอนเงินไปจำนวน 101 ล้านบาท ส่วนผู้เสียหายนักธุรกิจประกอบกิจการพลังงานแสงอาทิตย์ โอนเงินไป 42 ล้านบาท รวมความเสียหายทั้งหมด 143 ล้านบาท

โดยนายนวกร เผยว่า เป็นหนึ่งในขบวนการหลอกลวงผ่านรูปแบบคอลเซ็นเตอร์ ในประเทศเพื่อนบ้าน มีหน้าที่แอบอ้างเป็นตำรวจ หลอกเหยื่อที่หลงเชื่อและโอนเงินเพื่อแลกกับไม่ให้ถูกดำเนินคดี

ทั้งนี้ ได้เปิดเผยถึงขั้นตอนการหลอกลวงทั้งหมดทำกันเป็นทีมงาน แบ่งออกเป็น 3 สาย โดยสายที่ 1 จะสุ่มโทรหาเหยื่อเพื่อหลอกให้หลงเชื่อ ส่วนสายที่ 2 จะเป็นในส่วนที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แจ้งให้ทราบถึงความผิดจะเหยื่อจะต้องถูกดำเนินคดี หากเหยื่อหลงเชื่อก็จะโอนไปยังสายที่ 3 คือฝ่ายการเงิน หรือเรียกว่าสายเชือด ที่บอกขั้นตอนหารโอนเงิน โดยรูปแบบการหลอกลวงมีหลายรูปแบบ โดยมีสคริปต์ให้อ่าน ซึ่งจะได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 4 ของวงเงินที่หลอกลวงมาได้ นอกจากเงินเดือนที่ได้รับ

นายนวกร เปิดเผยอีกว่า หัวหน้าเครือข่ายเป็นชาวไต้หวัน และมีคนไทยเป็นลูกมือ ซึ่งหาก ทำผลงานไม่ได้ตามเป้า หรือมีพฤติกรรมต่อต้าน จะถูกทำร้ายร่างกาย หรือหนักสุดบางคนอาจถูกขายต่อไปให้กับกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกกลุ่มหนึ่ง

ซึ่งก่อนถูกจับในครั้งนี้ ได้หลบหนีออกมาจากเครือข่ายนี้ กลับมาในประเทศประเทศไทยเนื่องจากหมดสัญญา และขอฝากเตือนถึง คนที่จะไปทำงานในลักษณะแบบนี้ว่า ไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่คิด

ทีมข่าวช่อง8 สอบถามกับแม่ของผู้ต้องหา เล่าว่า ก่อนจะไปกัมพูชา ขอเงินแม่ 500 บาท บอกว่าจะไปทำงาน เพราะมีเพื่อนมาชวน พออาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้าน ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้เลย จนต้องไปบนบานกับพระ ขอให้ลูกกลับมา และต่อมาลูกกลับมา แต่มาพร้อมตำรวจเพราะถูกจับร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเงิน

จากการสอบถามเพื่อนผู้ต้องหา บอกว่า โตมาด้วยกัน เป็นคนขยัน คิดอะไรไม่ค่อยทัน เพื่อนรู้ว่าทำงานที่ปอยเปต แต่ไม่รู้ว่าทำงานอะไร ที่ผ่านมาเคยบอกว่าอยากกลับบ้าน เพราะถูกซ้อม และไม่ได้เจอเพื่อนนานแล้ว