จากกรณีลูกนายก อบต.ไล่ฟันรถ ฟันหน้าสาว เพื่อนบ้านแฉเคยยิงปืนขู่หน้าบ้าน ขณะที่ตำรวจส่งตัวไปบำบัด ด้านนายกยอมรับ ลูกชายมีอาการคลั่ง ผลมาจากเสพยา ยันปล่อยไปตามกระบวนการกฎหมาย
วันที่ 14 ตค. ความคืบหน้าเหตุลูกชายนายก อบต.แห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอเขาพนมก่อเหตุนำรถยนต์จอดขวางถนนไล่ฟันรถ และไปฟันหน้าของหญิงสาวที่ ต.เขาดิน อ.เขาพนม จ.กระบี่ เหตุเกิดเมื่อชวงเย็นวันที่ 12 ตค. ที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดทางกลุ่มผู้เสียหายได้เปิดเผยกล้องวงจรปิดที่ผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นลูกชายนายก อบต. ได้ไปก่อกวนชาวบ้านยิงปืนขู่ 2 นัด ที่หน้าบ้านหลังหนึ่งในหมู่ที่ 8 ต.เขาดิน อ.เขาพนม ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านไป ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่ก็ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เกิดความระแวงอย่างหนัก
ขณะที่ พ.ต.ท.จรัญ แนบเพชร สารวัตรสอบสวนสภ.เขาพนม เปิดเผยว่า เหตุการณ์ไล่ฟันเมื่อวันที่ 12 นั้น ตนก็ร่วมในการรับฟังขณะที่ผู้เสียหายมาแจ้งความในช่วงเย็น โดยข้อเท็จจริงพบว่า วันเกิดเหตุทางตำรวจได้มีการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายยาเสพติด และไปที่บ้านผู้ก่อเหตุ แต่ไม่พบหลักฐาน ซึ่งหลังเกิดเหตุทราบว่าผู้ก่อเหตุอาจไม่พอใจ จึงนำรถออกมาขวางถนนและก่อเหตุดังกล่าวขึ้น หลังจากนั้นในช่วงค่ำได้ให้ทางตำรวจไปตามตัวและมาตรวจปัสสาวะที่สภ.เขาพนม พบเป็นสีม่วง จึงทำการส่งบำบัดที่จังหวัดนครศรีธรรมราชในวันที่ 13 ตค.ที่ผ่านมาแล้ว ส่วนในทางคดีที่ไปทำร้ายร่างกายและทำลายทรัพย์สินก็จะดำเนินคดีตามขั้นตอน ในส่วนของคดีที่ผู้ก่อเหตุไปชนรถจยย.ที่ปั้มน้ำมันนั้น ทางตนเจ้าของคดี ได้ทำสำนวนเสร็จสิ้นไปแล้ว แจ้งข้อหาพยามฆ่าและส่งสำนวนให้อัยการ ซึ่งทราบว่าอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบเพื่อส่งฟ้องศาลแล้วด้วย
ด้านพ่อของผู้ก่อเหตุ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายก อบต.แห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.เขาพนม ให้ข้อมูลกับทีมข่าวผ่านทางโทรศัพท์ว่า ช่วงนี้ตนยังอยู่ระหว่างเดินทางไปประชุมอยู่ต่างจังหวัด ส่วนเหตุที่เกิดขึ้นตนทราบตั้งแต่วันแรกแล้ว เพราะมีตำรวจประสานมา ซึ่งตนก็แจ้งให้ทางตำรวจ และฝ่ายปกครองของ อ.เขาพนม นำตัวลูกชายส่งไปเข้าสู่กระบวนการบำบัดผู้ติดยาเสพติดก่อน ในส่วนของคดีความ ก็ให้ตำรวจดำเนินการไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งตนยืนยันว่าจะไม่เอาตำแหน่งหน้าที่การงานไปกดดันการทำงานของ จนท.อย่างแน่นอน ที่ผ่านมายอมรับว่าลูกชายมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว โดยลูกชายคนที่ก่อเหตุ เป็นลูกชายคนสุดท้องใน 3 พี่น้อง ก่อนนี้ตนเองและครอบครัว พยายามสั่งสอนอบรมมาแล้วหลายครั้ง แต่ลูกชายก็ยังมีพฤติกรรมก้าวร้าว โดยยอมรับว่าน่าจะมีผลมาจากการเสพยาเสพติด มีอาการแบบนี้มา 3-4 ปีแล้ว ตนเองก็เคยส่งตัวเข้ารับการบำบัดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่หาย ยอมรับว่าทางครอบครัวก็หนักใจ และอยากฝากขอโทษผู้เสียหายทั้งหมดด้วย ในส่วนของการเยียวยา ต้องรอให้ตนเดินทางกลับไปก่อน แล้วค่อยไปพูดคุยกันว่าจะต้องช่วยเหลืออย่างไรกันบ้าง สำหรับลูกชายหลังจากนี้ก็ปล่อยไปตามกระบวนการกฎหมาย