สืบเนื่องจากกรณีสาวบุรีรัมย์ ที่ได้รับเงินโอนเกือบ 3 แสนบาท จากแม่ค้าชาวสมุทรสาคร ล่าสุดยังหาตัวไม่เจอ มีเพียงสามีอยู่บ้าน ใครมาถามไม่ต้อนรับ ปิดบ้านหนีอ้างเมียหนีไปในเมืองติดต่อไม่ได้ ชาวบ้านเผยเป็นคนไม่สุงสิงกับใครมากนัก รู้เพียงว่าไปทำงานในตัวเมือง คาดว่าเป็นพนักงานห้างฯ
วันที่ 16 พ.ค.65 จากกรณี น.ส.วิราวรรณ ชวดพงษ์ อายุ 40 ปี ชาว จ.สมุทรสาคร ร้องผู้สื่อข่าว ว่าได้โอนเงินร่วม 3 แสนบาท ผิดบัญชีเงินไปเข้าบัญชีของหญิงสาวชาวจังหวัดบุรีรัมย์ และต้องลำบากเพราะติดต่อประสานงานกับธนาคารทั้งใช้วิธีโทรผ่านคอลเซนเตอร์
และไปติดต่อธนาคารสาขา กลับโยนกันไปมา สุดท้ายได้แค่รับเรื่องไว้ ไม่มีการอายัดเงินไว้ให้ได้ ต้องวิ่งหาสืบสวนข้อมูลเอง จนสามารถได้เงินกลับคืนมา 160,000 บาท ที่เหลือสาวเจ้าของบัญชีปลายทางบอก ”เงินหมดแล้วยอมติดคุก”
หลังจากปรากฏเป็นข่าว และมีประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบซึ่งเป็นบ้านของ ของ น.ส.เสาวณีย์ อายุ 44 ปี เจ้าของบัญชีที่มีเงินโอนเข้า พบว่า
บ้านยังปิดเงียบเหมือนเดิม มีเพียงนายบุญชู อายุ 52 ปี สามีของ น.ส.เสาวณีย์ อยู่ภายในบ้าน เมื่อผู้สื่อข่าวเคาะประตูบ้าน สามีนางเสาวณีย์ ได้ออกมาจากบ้าน แต่ไม่ยอมพูดกับผู้สื่อข่าว ตอบสั้น ๆ ว่า "ภรรยาได้หนีไปอยู่ในเมืองแล้ว" ไม่สามารถติดต่อได้ แล้วล็อกประตูบ้านเดินหนีออกจากผู้สื่อข่าวไป
นางสุวรรณา วรรณโฆษิต อายุ 50 ปี แม่ค้าขายของชำในหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ติดกับบ้านของ น.ส.เสาวณีย์ เล่าว่า ปกติไม่ค่อยเห็นหน้า นานจะมาซื้อของ ไม่ค่อยมาสุงสิงกับใคร รู้เพียงว่าทำงานอยู่ในห้างฯ ชื่อดังแห่งหนึ่งที่มีสาขาทั่วจังหวัดบุรีรัมย์ ในความรู้สึกส่วนตัวหากมีเงินเข้าบัญชีแบบนี้ จะไม่กล้าใช้ และจะโอนคืนกลับไปให้เจ้าของ ถ้าติดต่อมา หรืออาจจะเข้าแจ้งความเอาไว้ เพราะเงินที่มาไม่รู้ว่ามาจากไหน คิดว่าเป็นเรื่องอันตรายหากเป็นเงินผิดกฎหมาย