‘วันจักรี’ ซึ่งตรงกับวันที่ 6 เม.ย. ของทุกปีนั้น นับเป็นวันที่พสกนิกรชาวไทย ร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 องค์พระปฐมบรมกษัตริย์ของราชวงศ์จักรี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
อีกทั้งวันที่ 6 เม.ย. นี้ ยังเป็นวันสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีของไทยอีกด้วย
ทั้งนี้ ตลอดรัชสมัยของพระองค์ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2325 นั้น พระราชกรณียกิจสำคัญ นอกจากการสร้างเมืองให้ยิ่งใหญ่สวยงามดังเช่นอโยธยาศรีรามเทพนครแล้ว พระองค์ยังต้องรับมือข้าศึกแวดล้อมมิให้รุกรานประเทศด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงเก่งกาจในการศึก ตั้งแต่ดำรงพระยศเป็น ‘พระราชวรินทร์’ สังกัดกรมพระตำรวจหลวง เคียงบ่าเคียงไหล่สมเด็จพระเจ้าตากสินมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งได้เลื่อนเป็นพระยายมราช หลังจากยกทัพไปตีเมืองเสียมราฐและพระตะบองได้สำเร็จ ในปี พ.ศ. 2312 และพระยาจักรีในเวลาต่อมา
จวบจนปี พ.ศ.2319-2321 พระยาจักรี ได้ยกทัพได้ตีเมืองจำปาศักดิ์ เมืองนางรอง เมืองอัตปรือ เมืองโขง รวมถึงเกลี้ยกล่อมให้เมืองสังขะ เมืองขุขันธ์ และเมืองสุรินทร์ เป็นเมืองขึ้นของกรุงเทพมหานครได้สำเร็จ
สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จึงเลื่อนยศให้เป็น ‘สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก’ และพระองค์ได้ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทร์ และหลวงพระบาง ก่อนอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางมาประดิษฐานในกรุงธนบุรีนั่นเอง
ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งบันทึกไว้ว่า สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้สำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ตามแบบเจ้านาย คือ ทุบด้วยท่อนจันทร์ เนื่องจากทรงมีพระวิปลาส และขึ้นปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แทน เมื่อวันที่ 6 เม.ย. ปี พ.ศ.2325 แต่ยังไม่มีพระราชพิธีทางการ จนเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ปี พ.ศ.2325 ทรงให้จัดพระราชพิธีปราบดาภิเษกขึ้น ขณะมีพระชนมายุ 45 พรรษา
อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า เมื่อพระองค์ได้ปราบดาภิเษกตัวเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว พระราชกรณียกิจสำคัญ นั่นคือ การรับมือข้าศึกรอบด้าน
ครั้งสำคัญที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ นั่นคือ ‘สงคราม 9 ทัพ’
ในเวลานั้น กรุงเทพมหานครเพิ่งฉลองพระราชทานปีใหม่ได้เพียง 2-3 ปี โดยปี พ.ศ. 2328 พระเจ้าปดุง ได้ยกทัพมา 9 ทัพ ไพร่พล 1 แสน หวังตีกรุงเทพมหานคร
ทัพที่ 1 ยกเข้ามาทางหัวเมืองปักษ์ใต้ ทัพที่ 2 ทวาย ทัพที่ 3 เชียงแสน ทัพที่ 4-8 ด่านเจดีย์สามองค์ และทัพที่ 9 ด่านแม่ละเมา จ.ตาก
ในขณะที่ทัพฝั่งไทย มีเพียง 4 ทัพ กับไพร่พล 7 หมื่น
ทัพที่ 1 เมืองนครสวรรค์ ทัพที่ 2 กาญจนบุรี ทัพที่ 3 ราชบุรี และทัพที่ 4 กรุงเทพฯ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงเป็นแม่ทัพด้วยพระองค์เอง
หากเทียบจำนวนไพร่พลแล้ว แทบจะต่อกลอนกันไม่ได้ เพราะทัพพม่ามีมากถึง 1 แสน ในขณะที่ไทยน้อยกว่าตั้ง 3 หมื่น
ทว่า ด้วยพระอัฉริยภาพชาญฉลาดของกษัตริย์ไทย ในการจะเอาชนะพม่าได้ มีวิธีเดียว คือ การต้านทัพพม่าไว้ที่เชิงเขา เพื่อให้ขาดแคลนอาหาร และไทยจัดกองกำลังโจมตีกองลำเลียงอาหารให้ทัพพม่า รวมถึงวังหน้าได้ใช้อุบายล่อหลอกให้พม่านึกว่า มีทัพใหม่จากเมืองหลวงเข้ามาเป็นกองหนุนทุกวัน
วันศุกร์ เดือน 3 แรม 4 ค่ำ ปี พ.ศ.2328 วังหน้าระดมทัพตีพม่าจนแตกพ่าย เมื่อพระเจ้าปดุงทราบข่าว จึงสั่งเลิกทั้ง 9 ทัพ กลับเมาะตะมะ เพราะเสบียงอาหารเริ่มขาดแคลนแล้ว หากฝืนไปก็อาจไม่ส่งผลดีต่อไพร่พลได้
แม้ภายหลังพระเจ้าปดุงจะพยายามยกทัพมาตีไทยต่อเนื่อง แต่ก็มิอาจสู้กลศึกของทัพไทยได้
ตลอดรัชสมัยของพระองค์ ต้องต่อสู้กับข้าศึกอริราชศัตรูครั้งใหญ่ ๆ อย่างน้อย 7 ครั้งสำคัญ และก็สามารถผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาได้ จนสร้างเมืองเป็นปึกแผ่น งดงามดังเทพสร้างจวบจนปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา ก่อนขึ้นปราบดาภิเษก 10 พระองค์ และหลังจากได้เป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ทรงมีพระราชโอรสพระราชธิดาทั้งสิ้น 32 พระองค์
โดยที่ประสูติจากสมเด็จพระอมรินทรบรมราชินี (นาค) คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงฉิมใหญ่ สมเด็จเจ้าฟ้าชายฉิม (รัชกาลที่ 2) สมเด็จพระเจ้าหญิงแจ่ม สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุ้ย สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสุภาวดี ส่วนพระองค์อื่นนั้นไม่ปรากฎนาม เนื่องจากสิ้นพระชนม์แต่วัยเยาว์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ปี พ.ศ.2352 รวมพระชนมายุ 74 พรรษา ทรงครองสิริราชสมบัติ 28 ปี ขณะที่สมเด็จพระอมรินทรบรมราชินี คู่บารมีของพระองค์ เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ปี พ.ศ.2369 พระชนมายุ 89 พรรษา
ที่น่าสนใจ คือ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า สมเด็จพระอมรินทรบรมราชินี ยังได้ถูกสถาปนาเฉลิมพระยศจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ขึ้นเป็น สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง เมื่อปี 2353 ด้วย
เรียบเรียงโดย ณัฐดนัย ใหม่ซ้อน
ขอบคุณที่มาข้อมูล
-หมายเหตุสยามประเทศ : เวนิสา เสนีวงศ์ฯ, สำนักพิมพ์บางกอกบุ๊ค
-ตำนานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช : ทันตแพทย์สม สุจีรา, อมรินทร์ธรรมะ